7 สัญญาณเตือน โรคเบาหวาน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
7 สัญญาณเตือน โรคเบาหวาน.. ⁉️
❎...ปัสวะบ่อยมาก
❎...น้ำหนักลด
❎...เป็นแผลง่ายหายยาก
❎...ตามัว ชาปลายมือเท้า ความรู้สึกทางเพศลดลง
❎...คันตามผิวหนัง
❎...กระหายน้ำ
❎...หิวบ่อย กินจุ
....การใส่ใจถึงสัญญาณเตือน อาการและ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค นับเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาระยะเริ่มแรกหากผู้ป่วยเบาหวานดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก ก็จะช่วยลดและชะลอหรือป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ปัจจุบันประเทศไทยใช้เกณฑ์ระดับน้ำตาลที่
> 126 มก./ดล. เป็นค่าของน้ำตาลในเลือดหลังจากการอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
#ข่าวดีมีทางออกสำหรับผู้เป็น "เบาหวาน" MODI
ด้วยสวัตกรรมสมุนไพรไทย มีสรรพคุณ
✅..ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
✅..ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ
✅..เสริมสร้างการหลั่งอินซูลิน จากตับอ่อน
✅..ป้องกันโรคแทรคซ้อนจากจากเบาหวาน
✅..ลดระดับไขมันในเลือด
✅..ทดแทนอินซูลินอย่างมีประสิทธิภาพ
✅..ปราศจากสารเคมีตกค้าง
✅..ผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยา อย.
✅..ผ่านขั้นตอนการผลิตสะอาดปลอดภัยได้มาตฐาน(GMP)
รักษามานานอาการไม่ดีขึ้น ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
☎️092-549 5358
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วิธีการเอาใจใส่ผู้มีอาการปวดหัวไมเกรน
วิธีการเอาใจใส่ผู้มีอาการปวดหัวไมเกรน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
วิธีการเอาใจใส่ผู้มีอาการปวดหัวไมเกรน
ปิดไฟ: หนึ่งในอาการของคนที่ปวดหัวเกรนคือร่างกายจะไวต่อแสง ดังนั้นการหรี่ไฟหรือปิดไฟจะสามารถช่วยให้อาการปวดหัวไมเกรนทุเลาลงได้
ลดระดับเสียง: เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน การลดระดับเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของตนเอง เสียงเพลงหรือแม้แต่เสียงทีวีของคุณ ก็จะสามารถช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี
ขับรถแทน: ขับรถระหว่างปวดหัวไมเกรนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่าให้ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนขับยานพาหนะจะดีที่สุด
เลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ: บางคนที่มีอาการปวดหัวไมเกรน อาจจะรู้สึกเวียนหัวและอยากจะอาเจียนได้ การลดกลิ่นที่เป็นสิ่งกระตุ้นจะช่วยบรรเทาอาการได้ดี
พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ: ไมเกรนบางครั้งอาจจะมีอาการที่รุนแรงได้ ในกรณีนี้หากคุณสามารถที่จะช่วยวิ่งทำธุระที่จำเป็นต่างๆของผู้ป่วย จะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
ทำให้ศีรษะเย็นเข้าไว้: แพ็คน้ำแข็งหรือเสื้อผ้าที่มีความเย็น จะมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่อาการปวดหัวไมเกรนกำเริบ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นก็คือ กำลังใจและความเข้าใจนั่นเองค่ะ
#SpeakYourMigraine #Migraine #ไมเกรน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
วิธีการเอาใจใส่ผู้มีอาการปวดหัวไมเกรน
ปิดไฟ: หนึ่งในอาการของคนที่ปวดหัวเกรนคือร่างกายจะไวต่อแสง ดังนั้นการหรี่ไฟหรือปิดไฟจะสามารถช่วยให้อาการปวดหัวไมเกรนทุเลาลงได้
ลดระดับเสียง: เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน การลดระดับเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของตนเอง เสียงเพลงหรือแม้แต่เสียงทีวีของคุณ ก็จะสามารถช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี
ขับรถแทน: ขับรถระหว่างปวดหัวไมเกรนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่าให้ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนขับยานพาหนะจะดีที่สุด
เลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ: บางคนที่มีอาการปวดหัวไมเกรน อาจจะรู้สึกเวียนหัวและอยากจะอาเจียนได้ การลดกลิ่นที่เป็นสิ่งกระตุ้นจะช่วยบรรเทาอาการได้ดี
พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ: ไมเกรนบางครั้งอาจจะมีอาการที่รุนแรงได้ ในกรณีนี้หากคุณสามารถที่จะช่วยวิ่งทำธุระที่จำเป็นต่างๆของผู้ป่วย จะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
ทำให้ศีรษะเย็นเข้าไว้: แพ็คน้ำแข็งหรือเสื้อผ้าที่มีความเย็น จะมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่อาการปวดหัวไมเกรนกำเริบ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนนั้นก็คือ กำลังใจและความเข้าใจนั่นเองค่ะ
#SpeakYourMigraine #Migraine #ไมเกรน
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
บำบัดโรคฮิตของคนไทย ไตเสื่อม-มะเร็งและโรคอื่นๆ
บำบัดโรคฮิตของคนไทย ไตเสื่อม-มะเร็งและโรคอื่นๆ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
อาหาร 8 อย่างที่มะเร็งไม่ชอบ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ศัตรูของมะเร็ง!! อาหาร 8 อย่างที่มะเร็งไม่ชอบ รู้แล้วชีวิตจะดี๊ดี..
แน่นอน
มะเร็ง หรือ เนื้องอกร้าย มีสาเหตุของโรคที่ค่อนข้างหลากหลาย วันนี้เราแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ “ศัตรูของมะเร็ง” อีกหนึ่งวิธีป้องกันการเกิดมะเร็งที่คุณเองก็สามารถทำได้ เพียงแค่รับประทานอาหารต่อไปนี้…
1. ศัตรูของมะเร็งกระเพาะอาหารคือ กระเทียม
2. ศัตรูของมะเร็งตับคือ เห็ด
3. ศัตรูของมะเร็งตับอ่อนคือ บร็อคโคลี่
4. ศัตรูของมะเร็งปอดคือ ผักโขม
5. ศัตรูของมะเร็งลำไส้คือ หน่อไม้น้ำ
6. ศัตรูของมะเร็งเต้านมคือ สาหร่ายทะเล
7. ศัตรูของมะเร็งผิวหนังคือ หน่อไม้ฝรั่ง
8. ศัตรูของมะเร็งปากมดลูกคือ ถั่วเหลือง
ดังนั้น เราจึงควรหันมาบริโภคศัตรูของมะเร็ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ
11 วิธีง่ายๆ ห่างไกลโรคมะเร็ง
1. ดื่มน้ำที่สะอาด การลดสารที่ก่อตัวทำให้เกิดโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง คือการดื่มน้ำที่สะอาด จากการศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่าการดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว
หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก
2. พยายามหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอดและหากกระเด็นสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดมะเร็งได้
3. การหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหาร การทำอาหารประเภทปิ้งย่างนั้นหากไหม้หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นหากจะทำการปิ้งย่างอาหาร งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมง
สามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง 87%
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง
5. รับประทานผักผลไม้สีเขียว เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้โดยเฉพาะสุภาพสตรี อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ
การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
6. ออกกำลังกายลดการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%
7. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน
ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว
8. ลดการใช้ปริมาณสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารฟอกขาว สารเคมีในการขัดห้องน้ำ สารขจัดคราบสกปรกต่างๆ เพราะหากใช้สารเหล่านั้นเป็นเวลานาน การสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การทำความสะอาดห้องน้ำโดยใช้น้ำส้มสายชูก็เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีไม่น้อย
9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสี ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว
การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า
10. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือโดยการแนบหูเป็นเวลานาน เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้
11. ทาโลชั่นกันแดด เนื่องจากแสงยูวี จากแสงอาทิตย์มีปริมาณมากในปัจจุบันทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้
ดังนั้นการทาโลชั่นกันแดดจะช่วยลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่ศีรษะล้าน มีผมน้อยควรทาโลชั่นกันแดดเพื่อลดปริมาณสารยูวี
Cr." http://www.rak-sukapap.com/2016/11/8_12.html
"
ศัตรูของมะเร็ง!! อาหาร 8 อย่างที่มะเร็งไม่ชอบ รู้แล้วชีวิตจะดี๊ดี..
แน่นอน
มะเร็ง หรือ เนื้องอกร้าย มีสาเหตุของโรคที่ค่อนข้างหลากหลาย วันนี้เราแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ “ศัตรูของมะเร็ง” อีกหนึ่งวิธีป้องกันการเกิดมะเร็งที่คุณเองก็สามารถทำได้ เพียงแค่รับประทานอาหารต่อไปนี้…
1. ศัตรูของมะเร็งกระเพาะอาหารคือ กระเทียม
2. ศัตรูของมะเร็งตับคือ เห็ด
3. ศัตรูของมะเร็งตับอ่อนคือ บร็อคโคลี่
4. ศัตรูของมะเร็งปอดคือ ผักโขม
5. ศัตรูของมะเร็งลำไส้คือ หน่อไม้น้ำ
6. ศัตรูของมะเร็งเต้านมคือ สาหร่ายทะเล
7. ศัตรูของมะเร็งผิวหนังคือ หน่อไม้ฝรั่ง
8. ศัตรูของมะเร็งปากมดลูกคือ ถั่วเหลือง
ดังนั้น เราจึงควรหันมาบริโภคศัตรูของมะเร็ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ
11 วิธีง่ายๆ ห่างไกลโรคมะเร็ง
1. ดื่มน้ำที่สะอาด การลดสารที่ก่อตัวทำให้เกิดโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง คือการดื่มน้ำที่สะอาด จากการศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่าการดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว
หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก
2. พยายามหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอดและหากกระเด็นสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดมะเร็งได้
3. การหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหาร การทำอาหารประเภทปิ้งย่างนั้นหากไหม้หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นหากจะทำการปิ้งย่างอาหาร งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมง
สามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง 87%
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง
5. รับประทานผักผลไม้สีเขียว เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้โดยเฉพาะสุภาพสตรี อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ
การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
6. ออกกำลังกายลดการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%
7. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน
ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว
8. ลดการใช้ปริมาณสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารฟอกขาว สารเคมีในการขัดห้องน้ำ สารขจัดคราบสกปรกต่างๆ เพราะหากใช้สารเหล่านั้นเป็นเวลานาน การสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การทำความสะอาดห้องน้ำโดยใช้น้ำส้มสายชูก็เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีไม่น้อย
9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสี ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว
การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า
10. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือโดยการแนบหูเป็นเวลานาน เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้
11. ทาโลชั่นกันแดด เนื่องจากแสงยูวี จากแสงอาทิตย์มีปริมาณมากในปัจจุบันทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้
ดังนั้นการทาโลชั่นกันแดดจะช่วยลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่ศีรษะล้าน มีผมน้อยควรทาโลชั่นกันแดดเพื่อลดปริมาณสารยูวี
Cr." http://www.rak-sukapap.com/2016/11/8_12.html
"
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
เป็นหอบหืด “ล่ำได้” ไม่แปลก
เป็นหอบหืด “ล่ำได้” ไม่แปลก
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหอบหืดและการเล่นกีฬา
หมอแอนพบว่า ถ้าพูดถึงคนที่เป็น ‘หอบหืด’
หลายคนจะนึกถึงคนที่รูปร่างผอมโซ ดูไร้เรี่ยวแรง ดูเหนื่อยหอบตลอดเวลา
เล่นกีฬาไม่ได้ ทำอะไรออกแรงไม่ได้เลย
ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อนี้ผิดหมดเลยค่ะ
เพราะไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหน ผอม หุ่นดี หุ่นล่ำ หรืออวบอ้วนก็เป็นโรคหอบหืดได้ทั้งนั้น
ดังนั้น หลาย ๆ คนที่แปลกใจว่าคนที่ตัวสูงใหญ่ เป็นนักแสดง
นักกีฬาที่ดูแข็งแรงหลาย ๆ คน จริง ๆ แล้วมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัว
“คนเป็นหอบออกกำลังกายได้ด้วยหรอ?”
หมอแอนขอตอบเลยค่ะว่าได้แน่นอน
เป็นหอบไม่ได้แปลว่าจะต้องปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอ
เพียงแต่ว่า คนที่เป็นโรคหอบ จะต้องใช้ยาที่หมอจัดให้อย่างตรงเวลา
รวมทั้งพกยาติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินด้วย
ถ้าใครคิดว่ายุ่งยาก ลองใช้แอพลิเคชัน Asthma Care
แอปพลิเคชันของทางชมรมผู้ป่วยโรคหืดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
มีฟังก์ชันในการจับเวลาใช้ยา คำแนะนำ และวิธีใช้ยาสำหรับโรคหืดหอบโดยเฉพาะ
มีให้ดาวน์โหลด “ฟรี” สำหรับ iOS ที่ "https://apps.apple.com/th/app/asthma-care/id1030321073" และ Google Play ที่
"https://play.google.com/store/apps/details?id=com.freewill.fx.appstudio.asthmacare&hl=th"
ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับออกกำลังกายสำหรับคนที่เป็นหอบหืดนะคะ
1. เราต้อง “รู้เวลา” ว่าเวลาไหนควร/ไม่ควรออกกำลังกาย
เช่นช่วงเวลาที่ไม่สบาย ติดเชื้อไวรัสหวัด เวลาที่อากาศเย็นจัด ๆ
หรือเวลาที่มีปริมาณเกสร/ละอองดอกไม้ต้นไม้ในอากาศมาก
อย่างเวลาเพิ่งตัดหญ้าเสร็จใหม่ๆ ถ้าฝืนไปวิ่งเล่น/ออกกำลังกาย
ก็เสี่ยงกับอาการหอบหืดกำเริบมากขึ้นค่ะ
2. “ใช้ยา” ประจำตัวของเราให้เรียบร้อย ตรงตามเวลาที่คุณหมอสั่ง
รวมถึงพกยาไว้ใกล้ตัวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ถ้ามีภาวะหืดกำเริบจากการออกกำลังกาย
ให้สูดยาขยายหลอดลมก่อนออกกำลังกาย 15 นาที
แล้วค่อยออกกำลังกายตามปกติ
3. ออกกำลังกายอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป”
การอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย 5-10 นาที
จะช่วยคลายกล้ามเนื้อหน้าอกและขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น
ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น แล้วค่อยๆเพิ่มระดับในการออกกำลังกายค่ะ
4.เลือกประเภทในการออกกำลังกายให้ “เหมาะสม”
ไม่ควรออกกำลังต่อเนื่องโดยไม่พักเป็นเวลานาน ๆ
โดยเฉพาะคนที่ยังไม่สามารถคุมอาการได้ดี
โดยเลือกออกกำลังกายที่ใช้พลังงานช่วงสั้น ๆ เช่น การเดิน ตีกอล์ฟ ปั่นจักรยาน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหอบหืดและการเล่นกีฬา
หมอแอนพบว่า ถ้าพูดถึงคนที่เป็น ‘หอบหืด’
หลายคนจะนึกถึงคนที่รูปร่างผอมโซ ดูไร้เรี่ยวแรง ดูเหนื่อยหอบตลอดเวลา
เล่นกีฬาไม่ได้ ทำอะไรออกแรงไม่ได้เลย
ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อนี้ผิดหมดเลยค่ะ
เพราะไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหน ผอม หุ่นดี หุ่นล่ำ หรืออวบอ้วนก็เป็นโรคหอบหืดได้ทั้งนั้น
ดังนั้น หลาย ๆ คนที่แปลกใจว่าคนที่ตัวสูงใหญ่ เป็นนักแสดง
นักกีฬาที่ดูแข็งแรงหลาย ๆ คน จริง ๆ แล้วมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัว
“คนเป็นหอบออกกำลังกายได้ด้วยหรอ?”
หมอแอนขอตอบเลยค่ะว่าได้แน่นอน
เป็นหอบไม่ได้แปลว่าจะต้องปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอ
เพียงแต่ว่า คนที่เป็นโรคหอบ จะต้องใช้ยาที่หมอจัดให้อย่างตรงเวลา
รวมทั้งพกยาติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินด้วย
ถ้าใครคิดว่ายุ่งยาก ลองใช้แอพลิเคชัน Asthma Care
แอปพลิเคชันของทางชมรมผู้ป่วยโรคหืดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
มีฟังก์ชันในการจับเวลาใช้ยา คำแนะนำ และวิธีใช้ยาสำหรับโรคหืดหอบโดยเฉพาะ
มีให้ดาวน์โหลด “ฟรี” สำหรับ iOS ที่ "https://apps.apple.com/th/app/asthma-care/id1030321073" และ Google Play ที่
"https://play.google.com/store/apps/details?id=com.freewill.fx.appstudio.asthmacare&hl=th"
ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับออกกำลังกายสำหรับคนที่เป็นหอบหืดนะคะ
1. เราต้อง “รู้เวลา” ว่าเวลาไหนควร/ไม่ควรออกกำลังกาย
เช่นช่วงเวลาที่ไม่สบาย ติดเชื้อไวรัสหวัด เวลาที่อากาศเย็นจัด ๆ
หรือเวลาที่มีปริมาณเกสร/ละอองดอกไม้ต้นไม้ในอากาศมาก
อย่างเวลาเพิ่งตัดหญ้าเสร็จใหม่ๆ ถ้าฝืนไปวิ่งเล่น/ออกกำลังกาย
ก็เสี่ยงกับอาการหอบหืดกำเริบมากขึ้นค่ะ
2. “ใช้ยา” ประจำตัวของเราให้เรียบร้อย ตรงตามเวลาที่คุณหมอสั่ง
รวมถึงพกยาไว้ใกล้ตัวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ถ้ามีภาวะหืดกำเริบจากการออกกำลังกาย
ให้สูดยาขยายหลอดลมก่อนออกกำลังกาย 15 นาที
แล้วค่อยออกกำลังกายตามปกติ
3. ออกกำลังกายอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป”
การอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย 5-10 นาที
จะช่วยคลายกล้ามเนื้อหน้าอกและขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น
ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น แล้วค่อยๆเพิ่มระดับในการออกกำลังกายค่ะ
4.เลือกประเภทในการออกกำลังกายให้ “เหมาะสม”
ไม่ควรออกกำลังต่อเนื่องโดยไม่พักเป็นเวลานาน ๆ
โดยเฉพาะคนที่ยังไม่สามารถคุมอาการได้ดี
โดยเลือกออกกำลังกายที่ใช้พลังงานช่วงสั้น ๆ เช่น การเดิน ตีกอล์ฟ ปั่นจักรยาน
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว ดื่มชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แก้อาการบวมน้ำ
1.ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง
2.ในเนื้อและน้ำมันมะพร้าวอ่อนมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี วิตามินบี กรดอะมิโน ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และยังมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
3.ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ดับร้อนได้เป็นอย่างดี
4.มีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษขับพิษของเสียออกจากร่างกาย
5.ช่วยแก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน
6.ช่วยแก้อาการบวมน้ำ
7.ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์
8.ช่วยลดอาการไข้สูง ตัวร้อน
9.ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
10.ช่วยแก้โรคบิด
11.ใช้ถ่ายพยาธิได้
12.ช่วยขับปัสสาวะ
เยอะมากๆ เลยกับประโยชน์ของน้ำมะพร้าว ยังไงก็อย่าลืมหาน้ำมะพร้าวเย็นๆ หรือจะเป็นน้ำมะพร้าวปั่นมาดื่มคลายร้อนแถมยังได้สุขภาพกันด้วยน้า...!!
ที่มา...."http://www.smartsme.tv/content/44875
"
Cr. "http://www.bedtaledidea.com/2016/11/12.html"
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว ดื่มชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แก้อาการบวมน้ำ
1.ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง
2.ในเนื้อและน้ำมันมะพร้าวอ่อนมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี วิตามินบี กรดอะมิโน ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และยังมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
3.ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ดับร้อนได้เป็นอย่างดี
4.มีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษขับพิษของเสียออกจากร่างกาย
5.ช่วยแก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน
6.ช่วยแก้อาการบวมน้ำ
7.ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์
8.ช่วยลดอาการไข้สูง ตัวร้อน
9.ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
10.ช่วยแก้โรคบิด
11.ใช้ถ่ายพยาธิได้
12.ช่วยขับปัสสาวะ
เยอะมากๆ เลยกับประโยชน์ของน้ำมะพร้าว ยังไงก็อย่าลืมหาน้ำมะพร้าวเย็นๆ หรือจะเป็นน้ำมะพร้าวปั่นมาดื่มคลายร้อนแถมยังได้สุขภาพกันด้วยน้า...!!
ที่มา...."http://www.smartsme.tv/content/44875
"
Cr. "http://www.bedtaledidea.com/2016/11/12.html"
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
มะเร็ง ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์
มะเร็ง ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
มะเร็ง คือ ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์ จะทำอย่างให้ห่างไกลมะเร็ง
แชร์ต่อได้บุญ
วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเอง พร้อมวิธีป้องกันสำหรับคนที่ยังไม่ป่วยและมีความเสี่ยง
มะเร็ง คือ ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์ อันเนื่องมาจากการที่เลือดของเรากลายเป็นพิษเกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิตต่อไปได้
ถ้าหากเซลล์เหล่านั้นไม่ปรับตัว เซลล์ เหล่านั้นจะป่วยและตาย เซลล์เหล่านั้นจึงตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถที่จะปรับตัว
เพื่อรับมือกับการ เปลี่ยนแปลงการปรับตัวของเซลล์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
เป็นที่น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่าตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมากก็จะผ่าเหล่าต่อไปอีก ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็นผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก
จากมุมมอง ของเซลล์
หากมันไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่าของเซลล์ จึงเป็น ธรรมชาติ
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามรอดตายจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้นลง เอยด้วยการฆ่าร่างกาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง
มะเร็ง คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามจะรอดตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษอย่างสูง
เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น
โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับการฆ่าแมลงวันโดยไม่ได้พยายามเอาขยะออกไป
เอาละ คุณจะลงมืออย่างฉับพลัน เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมของคุณอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ
วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ – หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับออกซิเจนต่ำ
ยิ่งมีออกซิเจนต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น
เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการจะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับออกซิเจนต่ำ
วิธีแก้ไขคือ
หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจนให้กับเลือด
เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ – หายใจเข้า 4 ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง 4
– หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก
>>>> กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4 หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่
ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับการออกกำลังของ เราทุกวิธี
การรับประทานพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยยับยั้งมะเร็ง เห็ดถั่งเช่า มีสรรพคุณช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และ เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด
วิธีที่ 2 หยุดรับประทานกรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนองที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ในสภาพแวด ล้อมที่เป็นกรด
เซลล์ที่ผ่าเหล่าจะตาย ในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด
คุณจะทำให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ก็ด้วยการ รับ ประทานอาหารที่เป็นด่างมากขึ้น เช่น น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
– งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
– รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว
หากคุณ ต้องการ
เห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทานอะไรอีกเลย จนกว่าจะถึงมื้อ เที่ยง นำผักใบเขียวหลากชนิด
มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาดแล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่ามันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณคุ้น เคยกับมัน
วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค ทุกโรค
ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่ง
ผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้องทำจิตใจให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้น
จากการดูข่าวร้าย และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลด ความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุดที่คุณจะทำได้ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือคำบรรยาย ช่วยให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้ายที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิตยากัน เสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจนแทบจะเป็นเรื่องตลกอย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิดให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้ น่าอยู่ขึ้น
เครดิต ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา
และ kaijeaw.com
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
มะเร็ง คือ ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์ จะทำอย่างให้ห่างไกลมะเร็ง
แชร์ต่อได้บุญ
วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเอง พร้อมวิธีป้องกันสำหรับคนที่ยังไม่ป่วยและมีความเสี่ยง
มะเร็ง คือ ธรรมชาติของการปรับตัวของเซลล์ อันเนื่องมาจากการที่เลือดของเรากลายเป็นพิษเกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิตต่อไปได้
ถ้าหากเซลล์เหล่านั้นไม่ปรับตัว เซลล์ เหล่านั้นจะป่วยและตาย เซลล์เหล่านั้นจึงตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถที่จะปรับตัว
เพื่อรับมือกับการ เปลี่ยนแปลงการปรับตัวของเซลล์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
เป็นที่น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่าตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมากก็จะผ่าเหล่าต่อไปอีก ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็นผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก
จากมุมมอง ของเซลล์
หากมันไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่าของเซลล์ จึงเป็น ธรรมชาติ
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามรอดตายจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้นลง เอยด้วยการฆ่าร่างกาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง
มะเร็ง คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามจะรอดตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษอย่างสูง
เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น
โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับการฆ่าแมลงวันโดยไม่ได้พยายามเอาขยะออกไป
เอาละ คุณจะลงมืออย่างฉับพลัน เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมของคุณอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ
วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ – หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับออกซิเจนต่ำ
ยิ่งมีออกซิเจนต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น
เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการจะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับออกซิเจนต่ำ
วิธีแก้ไขคือ
หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจนให้กับเลือด
เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ – หายใจเข้า 4 ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง 4
– หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก
>>>> กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4 หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่
ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับการออกกำลังของ เราทุกวิธี
การรับประทานพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยยับยั้งมะเร็ง เห็ดถั่งเช่า มีสรรพคุณช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และ เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด
วิธีที่ 2 หยุดรับประทานกรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนองที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ในสภาพแวด ล้อมที่เป็นกรด
เซลล์ที่ผ่าเหล่าจะตาย ในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด
คุณจะทำให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ก็ด้วยการ รับ ประทานอาหารที่เป็นด่างมากขึ้น เช่น น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
– งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
– รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว
หากคุณ ต้องการ
เห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทานอะไรอีกเลย จนกว่าจะถึงมื้อ เที่ยง นำผักใบเขียวหลากชนิด
มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาดแล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่ามันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณคุ้น เคยกับมัน
วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค ทุกโรค
ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่ง
ผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้องทำจิตใจให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้น
จากการดูข่าวร้าย และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลด ความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุดที่คุณจะทำได้ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือคำบรรยาย ช่วยให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้ายที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิตยากัน เสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจนแทบจะเป็นเรื่องตลกอย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิดให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้ น่าอยู่ขึ้น
เครดิต ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา
และ kaijeaw.com
วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
สิ่งที่ควรรู้ก่อนลุกจากที่นอน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนลุกจากที่นอน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
สิ่งที่ควรรู้ก่อนลุกจากที่นอน!
บางคนมีสิทธิ์หัวใจหยุดเต้นได้..เพราะทำสิ่งต่อไปนี้
การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหันทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป
บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก
ส่วนบางคน หัวใจมีปัญหา กลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความ ดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี
นักวิทยาศาสตร์ มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอ ๆ ว่า...
“ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง“
วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก
ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง...
1.เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที
2.เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที
3.แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที
ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง
1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)
2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้
เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้
4 วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้
1.สำลักอาหาร
วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป
2. ตกหมอน คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนนั้นก็คือปวดคอ
ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา จับนิ้วโป้งของเท้าค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
3. ขาเป็นตะคริว เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที
4. ขาชา ถ้าขาซ้ายชาสบัดมือขวาจาก.ช้าไปหาเร็ว ถ้าขาขวาชาก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก...share-si.com
Cr..." http://www.bedtaledidea.com/2016/10/blog-post_5.html
"
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
สิ่งที่ควรรู้ก่อนลุกจากที่นอน!
บางคนมีสิทธิ์หัวใจหยุดเต้นได้..เพราะทำสิ่งต่อไปนี้
การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหันทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป
บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก
ส่วนบางคน หัวใจมีปัญหา กลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความ ดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี
นักวิทยาศาสตร์ มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอ ๆ ว่า...
“ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง“
วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก
ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง...
1.เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที
2.เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที
3.แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที
ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง
1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)
2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้
เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้
4 วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้
1.สำลักอาหาร
วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป
2. ตกหมอน คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนนั้นก็คือปวดคอ
ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา จับนิ้วโป้งของเท้าค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
3. ขาเป็นตะคริว เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที
4. ขาชา ถ้าขาซ้ายชาสบัดมือขวาจาก.ช้าไปหาเร็ว ถ้าขาขวาชาก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก...share-si.com
Cr..." http://www.bedtaledidea.com/2016/10/blog-post_5.html
"
5 ผักที่มีวิตามินซีสูงที่สุด
5 ผักที่มีวิตามินซีสูงที่สุด
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
1. พริกหวาน วิตามินซี 80.4 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
สามารถกินได้ทั้งแบบสดๆ และปรุงสุก เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ พริกหวานผลที่แก่แล้วจะมีสีแดง เหลือง ส้ม หรือม่วงจะให้วิตามินซีเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
2. บร็อคโคลี่ วิตามินซี 89.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร บร็อคโคลีเป็นผักที่ไม่ควรนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนที่นานเกินไปเพราะจะทำให้เสียวิตามินและคุณค่าทางอาหาร
3. ผักคะน้า วิตามินซี 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
มีคุณสมบัติช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีและกำจัดสารพิษในร่างกาย ควรล้างให้สะอาดเพื่อช่วยลดการตกค้างของสารเคมีก่อนทุกครั้ง
4. ผักปวยเล้ง วิตามินซี 120 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อย่าง เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และยังมีกรดโฟลิกทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สนิท
5. ใบมะรุม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
พืชพื้นบ้านที่นำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เป็นยาระบาย ลดไข้ ช่วยให้นอนหลับสบาย ป้องกันแผลในกระเพราะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระได้
ที่มา: "http://multimedia.anamai.moph.go.th"
Smartmeal #Smartmealthailand #Vegetarian #Frozenfood #thaifood #Healthy #Healthyfood #รักสุขภาพ #อร่อย #สายเฮลตี้
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
1. พริกหวาน วิตามินซี 80.4 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
สามารถกินได้ทั้งแบบสดๆ และปรุงสุก เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ พริกหวานผลที่แก่แล้วจะมีสีแดง เหลือง ส้ม หรือม่วงจะให้วิตามินซีเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
2. บร็อคโคลี่ วิตามินซี 89.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร บร็อคโคลีเป็นผักที่ไม่ควรนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนที่นานเกินไปเพราะจะทำให้เสียวิตามินและคุณค่าทางอาหาร
3. ผักคะน้า วิตามินซี 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
มีคุณสมบัติช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีและกำจัดสารพิษในร่างกาย ควรล้างให้สะอาดเพื่อช่วยลดการตกค้างของสารเคมีก่อนทุกครั้ง
4. ผักปวยเล้ง วิตามินซี 120 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อย่าง เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และยังมีกรดโฟลิกทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สนิท
5. ใบมะรุม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
พืชพื้นบ้านที่นำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เป็นยาระบาย ลดไข้ ช่วยให้นอนหลับสบาย ป้องกันแผลในกระเพราะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระได้
ที่มา: "http://multimedia.anamai.moph.go.th"
Smartmeal #Smartmealthailand #Vegetarian #Frozenfood #thaifood #Healthy #Healthyfood #รักสุขภาพ #อร่อย #สายเฮลตี้
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
กินมะละกอสุกแทนยาแก้อักเสบ
กินมะละกอสุกแทนยาแก้อักเสบ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ความลับของแพทย์ผู้จ่ายยา แนะนำให้กินมะละกอสุกแทนยาแก้อักเสบ
..เพราะว่า
มะละกอเป็นแหล่งที่ดีของใยอาหารโดยเฉพาะเพคติน (ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ตามกระบวนการที่ผู้เขียนเคยอธิบายไว้ในบทความก่อนหน้านี้) ในตำรายาไทยมักกล่าวว่า
มะละกอเป็นผลไม้พื้นเมืองที่ปลูกในประเทศแถบทะเลคาริเบียนไล่ไปจนถึงเม็กซิโก ปานามา และโคลัมเบีย มีผู้สันนิษฐานว่ามะละกอถูกนำเข้ามาปลูกในบ้านเรา
สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยฝรั่งสักสัญชาติหนึ่ง ซึ่งคนไทยได้ให้การต้อนรับมะละกออย่างดีจนกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมปลูกได้ทุกถิ่นของไทย คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่ายากดีมีจนมักมีโอกาสกินผลไม้นี้ทั้งดิบและสุก
โดยมะละกอดิบมักถูกนำไปทำเป็นส้มตำและแกงส้ม ตลอดจนนำไปดองเค็มแล้วทำให้แห้งเป็นของกินเล่นซึ่งเป็นอันตรายต่อไตของผู้นิยมบริโภคประจำ
ส่วนมะละกอสุกนั้นเป็นผลไม้ประจำงานเลี้ยงต่าง ๆ และมักเป็นสมาชิกสำคัญของผลไม้กระป๋องที่ติดฉลากว่า ผลไม้รวม (ซึ่งมักไม่พ้นมะละกอกึ่งสุก สับปะรดออกเปรี้ยว และองุ่นไทยผสมกันในน้ำเชื่อม)
มะละกอสุก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ซึ่งผู้เขียนได้พิสูจน์ความจริงนี้แล้วในสมัยเรียนระดับปริญญาตรี
เนื่องจากผู้เขียนมักเป็นหวัดบ่อยจึงไปขอยาจากหน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัยและได้ยาปฏิชีวนะ (หลายคนเรียกว่ายาแก้อักเสบ...ซึ่งผิด) มากิน โดยทุกครั้งที่กินมักเกิดอาการท้องผูก (เนื่องจากยาไปทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่) จึงแจ้งแก่แพทย์ผู้จ่ายยา ก็ได้รับคำแนะนำให้กินมะละกอสุก ซึ่งต่อมาเมื่อเรียนสูงขึ้นจึงทราบว่า
เนื้อมะละกอนั้นมีใยอาหารซึ่งเป็นอาหาร (พรีไบโอติก) ของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัส (โปรไบโอติก) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียกลุ่มนี้เจริญมากขึ้นก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ระบบขับถ่ายเข้าสู่ความเป็นปกติ
งานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า มะละกอสุกนั้นเป็นอาหารที่ลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายอวัยวะในร่างกาย เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมทั้งพฤกษเคมีต่าง ๆ เช่น สารฟลาโวนอยด์ วิตามินต่างๆ ซึ่งมีเบต้าแคโรตีนเป็นตัวชูโรงสำคัญ ตามด้วยโฟเลต ไทอามีน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไนอาซิน (วิตามินบี 3) กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) วิตามินซี ฯลฯ สำหรับแร่ธาตุที่สำคัญคือ โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ดังนั้นผู้นิยมกินมะละกอสุกจะมีเหงือกสวย (ปลอดภัยจากโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันด้วยอิทธิพลของวิตามินซี)และผิวสวย
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้ทุนทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารไทยต้านพิษของสารก่อกลายพันธุ์ (ซึ่งสามารถแปลผลถึงการต้านมะเร็ง)
จากสภาวิจัยแห่งชาติ อาหารจานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเนื่องจากผลการศึกษาพบว่า สามารถต้านสารพิษได้ดีในลำดับต้น ๆ คือ ส้มตำ (สูตรที่ใช้ศึกษาไม่ใส่ปูเค็ม เพราะปู มักมีเชื้อพยาธิ) ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อพิจารณาจากใยอาหารจากมะละกอ พร้อมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ปรุงส้มตำแล้ว ผู้เขียนสามารถระบุได้เลยว่า ส้มตำเป็นองครักษ์พิทักษ์มะเร็ง
ดังนั้นผู้เขียนจึงมักแนะนำผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน เนื้อสัตว์ต้มตุ๋นนาน และเนื้อหมักต่าง ๆ ให้กินอาหารนั้น ๆคู่ไปกับส้มตำ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสาว ๆ ที่กินส้มตำสัปดาห์ละเจ็ดวัน วันละสามมื้อ ผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นของหวานหลังมื้ออาหารมักมีภูมิต้านทานดี ไม่ค่อยป่วยไข้เนื่องจากโรคติดเชื้อ เพราะร่างกายเราเปลี่ยนเบตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอ ประกอบกับเนื้อมะละกอมีวิตามินซีสูง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานร่วมกัน
กับโปรตีนและธาตุสังกะสีจากเนื้อสัตว์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งวิตามินเอที่แปลงมาจากเบตาแคโรตีนนั้นสามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งทำให้ผู้กินมะละกอสุกประจำมีดวงตาที่สดใส
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมะละกออีกประการคือ ยางซึ่งได้จากผลดิบและลำต้นนั้น ได้ถูกนำไปใช้หมักเนื้อสัตว์ที่เหนียวมากให้เหนียวน้อยลงจนในบางครั้งผู้สูงอายุสามารถกัดได้นุ่มปาก
เนื่องจากในยางมะละกอนั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ปาเปน (Papain) ช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเนื้อสัตว์ก่อนถูกนำไปปรุงให้สุก ดังนั้นผู้ที่กินมะละกอดิบในลักษณะส้มตำจึงได้ยางนี้ไปช่วยในการย่อยเนื้อสัตว์ในทางเดินอาหาร อย่างไรก็ดีการได้รับยางมะละกอที่อยู่ในมะละกอดิบเข้าปากนั้นเป็นดาบสองคม เพราะเนื้อยางนั้นน่าจะมีความเป็นพิษแฝงอยู่ โดยพิษนั้นเกิดขึ้นเฉพาะกับสาวที่กำลังตั้งท้อง
ข้อมูล Healthtoday Thailand - รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ - นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ
Cr. "http://www.senesouk.com/2016/11/blog-post_44.html
"
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ความลับของแพทย์ผู้จ่ายยา แนะนำให้กินมะละกอสุกแทนยาแก้อักเสบ
..เพราะว่า
มะละกอเป็นแหล่งที่ดีของใยอาหารโดยเฉพาะเพคติน (ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ตามกระบวนการที่ผู้เขียนเคยอธิบายไว้ในบทความก่อนหน้านี้) ในตำรายาไทยมักกล่าวว่า
มะละกอเป็นผลไม้พื้นเมืองที่ปลูกในประเทศแถบทะเลคาริเบียนไล่ไปจนถึงเม็กซิโก ปานามา และโคลัมเบีย มีผู้สันนิษฐานว่ามะละกอถูกนำเข้ามาปลูกในบ้านเรา
สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยฝรั่งสักสัญชาติหนึ่ง ซึ่งคนไทยได้ให้การต้อนรับมะละกออย่างดีจนกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมปลูกได้ทุกถิ่นของไทย คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่ายากดีมีจนมักมีโอกาสกินผลไม้นี้ทั้งดิบและสุก
โดยมะละกอดิบมักถูกนำไปทำเป็นส้มตำและแกงส้ม ตลอดจนนำไปดองเค็มแล้วทำให้แห้งเป็นของกินเล่นซึ่งเป็นอันตรายต่อไตของผู้นิยมบริโภคประจำ
ส่วนมะละกอสุกนั้นเป็นผลไม้ประจำงานเลี้ยงต่าง ๆ และมักเป็นสมาชิกสำคัญของผลไม้กระป๋องที่ติดฉลากว่า ผลไม้รวม (ซึ่งมักไม่พ้นมะละกอกึ่งสุก สับปะรดออกเปรี้ยว และองุ่นไทยผสมกันในน้ำเชื่อม)
มะละกอสุก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ซึ่งผู้เขียนได้พิสูจน์ความจริงนี้แล้วในสมัยเรียนระดับปริญญาตรี
เนื่องจากผู้เขียนมักเป็นหวัดบ่อยจึงไปขอยาจากหน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัยและได้ยาปฏิชีวนะ (หลายคนเรียกว่ายาแก้อักเสบ...ซึ่งผิด) มากิน โดยทุกครั้งที่กินมักเกิดอาการท้องผูก (เนื่องจากยาไปทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่) จึงแจ้งแก่แพทย์ผู้จ่ายยา ก็ได้รับคำแนะนำให้กินมะละกอสุก ซึ่งต่อมาเมื่อเรียนสูงขึ้นจึงทราบว่า
เนื้อมะละกอนั้นมีใยอาหารซึ่งเป็นอาหาร (พรีไบโอติก) ของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัส (โปรไบโอติก) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียกลุ่มนี้เจริญมากขึ้นก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ระบบขับถ่ายเข้าสู่ความเป็นปกติ
งานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า มะละกอสุกนั้นเป็นอาหารที่ลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายอวัยวะในร่างกาย เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมทั้งพฤกษเคมีต่าง ๆ เช่น สารฟลาโวนอยด์ วิตามินต่างๆ ซึ่งมีเบต้าแคโรตีนเป็นตัวชูโรงสำคัญ ตามด้วยโฟเลต ไทอามีน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไนอาซิน (วิตามินบี 3) กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) วิตามินซี ฯลฯ สำหรับแร่ธาตุที่สำคัญคือ โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ดังนั้นผู้นิยมกินมะละกอสุกจะมีเหงือกสวย (ปลอดภัยจากโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันด้วยอิทธิพลของวิตามินซี)และผิวสวย
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้ทุนทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารไทยต้านพิษของสารก่อกลายพันธุ์ (ซึ่งสามารถแปลผลถึงการต้านมะเร็ง)
จากสภาวิจัยแห่งชาติ อาหารจานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเนื่องจากผลการศึกษาพบว่า สามารถต้านสารพิษได้ดีในลำดับต้น ๆ คือ ส้มตำ (สูตรที่ใช้ศึกษาไม่ใส่ปูเค็ม เพราะปู มักมีเชื้อพยาธิ) ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อพิจารณาจากใยอาหารจากมะละกอ พร้อมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ปรุงส้มตำแล้ว ผู้เขียนสามารถระบุได้เลยว่า ส้มตำเป็นองครักษ์พิทักษ์มะเร็ง
ดังนั้นผู้เขียนจึงมักแนะนำผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน เนื้อสัตว์ต้มตุ๋นนาน และเนื้อหมักต่าง ๆ ให้กินอาหารนั้น ๆคู่ไปกับส้มตำ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสาว ๆ ที่กินส้มตำสัปดาห์ละเจ็ดวัน วันละสามมื้อ ผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นของหวานหลังมื้ออาหารมักมีภูมิต้านทานดี ไม่ค่อยป่วยไข้เนื่องจากโรคติดเชื้อ เพราะร่างกายเราเปลี่ยนเบตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอ ประกอบกับเนื้อมะละกอมีวิตามินซีสูง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานร่วมกัน
กับโปรตีนและธาตุสังกะสีจากเนื้อสัตว์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งวิตามินเอที่แปลงมาจากเบตาแคโรตีนนั้นสามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งทำให้ผู้กินมะละกอสุกประจำมีดวงตาที่สดใส
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมะละกออีกประการคือ ยางซึ่งได้จากผลดิบและลำต้นนั้น ได้ถูกนำไปใช้หมักเนื้อสัตว์ที่เหนียวมากให้เหนียวน้อยลงจนในบางครั้งผู้สูงอายุสามารถกัดได้นุ่มปาก
เนื่องจากในยางมะละกอนั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ปาเปน (Papain) ช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเนื้อสัตว์ก่อนถูกนำไปปรุงให้สุก ดังนั้นผู้ที่กินมะละกอดิบในลักษณะส้มตำจึงได้ยางนี้ไปช่วยในการย่อยเนื้อสัตว์ในทางเดินอาหาร อย่างไรก็ดีการได้รับยางมะละกอที่อยู่ในมะละกอดิบเข้าปากนั้นเป็นดาบสองคม เพราะเนื้อยางนั้นน่าจะมีความเป็นพิษแฝงอยู่ โดยพิษนั้นเกิดขึ้นเฉพาะกับสาวที่กำลังตั้งท้อง
ข้อมูล Healthtoday Thailand - รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ - นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ
Cr. "http://www.senesouk.com/2016/11/blog-post_44.html
"
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคใกล้ตัววัยทำงาน
.
ทำงานติดลม ยังไม่อยากลุกไปเข้าห้องน้ำ ชอบกลั้นปัสสาวะ
ต้องระวัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ!
.
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) คือ
การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย เอสเชอริเชีย โคไล หรือ อีโคไล (Escherichia coli: E. coli) ในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI)
.
เชื้อโรคเหล่านี้จะมีอยู่มากบริเวณรอบๆ ทวารหนัก
สามารถปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะและเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะได้
ทำให้โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่า
และอยู่ใกล้ทวารหนัก เชื้อโรคจึงเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่า
ส่วนช่วงอายุที่พบโรคนี้ได้มาก อยู่ระหว่างอายุ 20 ปีขึ้นไป
.
ในปัจจุบัน เราพบว่ากลุ่มคนวัยทำงานสุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ และมีนิสัยกลั้นปัสสาวะ ยกตัวอย่างเช่น
1) ผู้ที่มีอาชีพเย็บผ้า
2) พนักงานขับโดยสารสาธารณะ กระเป๋ารถเมล์
เนื่องจากอาจรับประทานน้ำน้อยและกลั้นปัสสาวะเวลาขับรถ
3) พนักงานเก็บเงินทางด่วน
4) พนักงานต้อนรับ (รถบัสและเครื่องบิน) /พนักงานห้าง/แคชเชียร์
พนักงานที่ต้องทำงานบริการตลอดเวลา
5) อาจารย์/วิทยากร/พิธีกร ที่ต้องดำเนินรายงานตลอดทั้งวัน
.
ซึ่งการกลั้นปัสสาวะ จะส่งผลให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน
ทำให้เชื้อโรคที่มีอยู่จึงเจริญเติบโตได้ดี และลุกลามกลายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในที่สุด
.
อาการของโรค
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ
- ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ
- ถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย
- รู้สึกปวดแสบขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนถ่ายปัสสาวะสุด
- น้ำปัสสาวะขุ่น /สีคล้ำผิดปกติ มีปริมาณน้อย และมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
- บางรายจะมีเลือดหรือหนองปนในปัสสาวะ
- ปวดบริเวณเอว ท้องน้อย หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
.
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง
แต่ถ้าเป็นๆ หายๆ แบบเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษา
เชื้อโรคอาจลุกลามไปที่ไตทำให้กรวยไตอักเสบได้
และถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนได้
.
การป้องกัน เพื่อดูแลตนเอง
- ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด ไม่กลั้นปัสสาวะ
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว กรณีไม่ได้เป็นโรคที่ต้องจำกัดน้ำ
- ผู้หญิงควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เช็ด/ล้าง
จากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนัก
.
วิธีการรักษา
ถ้าสงสัยว่าอาการที่เป็นอยู่ตรงกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ควรไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรค โดยจะตรวจดูจากอาการ ตรวจปัสสาวะ
หรืออาจจะตรวจในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะโรคนี้ไม่สามารถหายได้โดยการดูแลตนเองเพียงอย่างเดียว
และไม่ควรซื้อยาทานเอง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมีหลายชนิด อาจมีการทานยาไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรค จนทำให้ไม่หายและยังเกิดอาการดื้อยาขึ้นได้
.
ที่มา: กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
thaihealth.or.th
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคใกล้ตัววัยทำงาน
.
ทำงานติดลม ยังไม่อยากลุกไปเข้าห้องน้ำ ชอบกลั้นปัสสาวะ
ต้องระวัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ!
.
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) คือ
การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย เอสเชอริเชีย โคไล หรือ อีโคไล (Escherichia coli: E. coli) ในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI)
.
เชื้อโรคเหล่านี้จะมีอยู่มากบริเวณรอบๆ ทวารหนัก
สามารถปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะและเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะได้
ทำให้โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่า
และอยู่ใกล้ทวารหนัก เชื้อโรคจึงเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่า
ส่วนช่วงอายุที่พบโรคนี้ได้มาก อยู่ระหว่างอายุ 20 ปีขึ้นไป
.
ในปัจจุบัน เราพบว่ากลุ่มคนวัยทำงานสุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ และมีนิสัยกลั้นปัสสาวะ ยกตัวอย่างเช่น
1) ผู้ที่มีอาชีพเย็บผ้า
2) พนักงานขับโดยสารสาธารณะ กระเป๋ารถเมล์
เนื่องจากอาจรับประทานน้ำน้อยและกลั้นปัสสาวะเวลาขับรถ
3) พนักงานเก็บเงินทางด่วน
4) พนักงานต้อนรับ (รถบัสและเครื่องบิน) /พนักงานห้าง/แคชเชียร์
พนักงานที่ต้องทำงานบริการตลอดเวลา
5) อาจารย์/วิทยากร/พิธีกร ที่ต้องดำเนินรายงานตลอดทั้งวัน
.
ซึ่งการกลั้นปัสสาวะ จะส่งผลให้ปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน
ทำให้เชื้อโรคที่มีอยู่จึงเจริญเติบโตได้ดี และลุกลามกลายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในที่สุด
.
อาการของโรค
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ
- ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ
- ถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย
- รู้สึกปวดแสบขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนถ่ายปัสสาวะสุด
- น้ำปัสสาวะขุ่น /สีคล้ำผิดปกติ มีปริมาณน้อย และมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
- บางรายจะมีเลือดหรือหนองปนในปัสสาวะ
- ปวดบริเวณเอว ท้องน้อย หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
.
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง
แต่ถ้าเป็นๆ หายๆ แบบเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษา
เชื้อโรคอาจลุกลามไปที่ไตทำให้กรวยไตอักเสบได้
และถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนได้
.
การป้องกัน เพื่อดูแลตนเอง
- ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด ไม่กลั้นปัสสาวะ
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว กรณีไม่ได้เป็นโรคที่ต้องจำกัดน้ำ
- ผู้หญิงควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เช็ด/ล้าง
จากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนัก
.
วิธีการรักษา
ถ้าสงสัยว่าอาการที่เป็นอยู่ตรงกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ควรไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรค โดยจะตรวจดูจากอาการ ตรวจปัสสาวะ
หรืออาจจะตรวจในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะโรคนี้ไม่สามารถหายได้โดยการดูแลตนเองเพียงอย่างเดียว
และไม่ควรซื้อยาทานเอง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมีหลายชนิด อาจมีการทานยาไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรค จนทำให้ไม่หายและยังเกิดอาการดื้อยาขึ้นได้
.
ที่มา: กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
thaihealth.or.th
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
8 ข้อห้าม หลังรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรคภัยนานาชนิด
8 ข้อห้าม หลังรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรคภัยนานาชนิด
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
หลังทานอาหารเสร็จไม่ควรทานหรือทำกิจกรรมอื่นทันที เพราะอาจเกิดผล
ร้ายต่อร่างกายและเกิดโรคต่างๆ ตามมา
ข้อห้าม 1 อย่าสูบบุหรี่
จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับ
การสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน ในขณะสารอาหารกำลังถูกดูดซึม ทำให้มี
โอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว
ข้อห้าม 2 อย่ากินผลไม้ทันที
หลังอาหารเพราะมันไปพองในท้องให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลัง
อาหารก็ได้จะดีกว่า
ข้อห้าม 3 อย่าดื่มน้ำชา
เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูงทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำ
ให้ย่อยยาก
ข้อห้าม 4 อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม
เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
ข้อห้าม 5 อย่าอาบน้ำหลังกินข้าวทันที
เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุ
ให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อย
อาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
ข้อห้าม 6 อย่าเดินหลังอาหาร
แม้คุณจะเคยได้ยินว่ากินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี
การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดีควรรออย่างน้อย
สักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
ข้อห้าม 7 อย่าดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ
หลังรับประทานอาหารการดื่มน้ำเย็นจัด อาจทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ได้
ข้อห้าม 8 อย่านอนหลับทันที
หลังจากทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ ควรที่จะนั่ง เพื่อรอให้อาหารย่อยให้เสร็จเสีย
ก่อนสักช่วงเวลานึง แล้วจึงค่อยนอน เพราะจำทำให้อาหารย่อยยาก
จึงอาจจะทำให้เกิดเชื้อโรค และเกิดลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ของเราได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วไม่ว่าหลังอาหารมื้อใดๆ ถ้าอดทนตามข้อห้ามนี้ได้ก็จะทำให้
คุณห่างไกลจากโรคและมีสุขภาพที่ดีได้
เครดิต: "healthydeedee.com"
Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/12/8_8.html"
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
หลังทานอาหารเสร็จไม่ควรทานหรือทำกิจกรรมอื่นทันที เพราะอาจเกิดผล
ร้ายต่อร่างกายและเกิดโรคต่างๆ ตามมา
ข้อห้าม 1 อย่าสูบบุหรี่
จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับ
การสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน ในขณะสารอาหารกำลังถูกดูดซึม ทำให้มี
โอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว
ข้อห้าม 2 อย่ากินผลไม้ทันที
หลังอาหารเพราะมันไปพองในท้องให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลัง
อาหารก็ได้จะดีกว่า
ข้อห้าม 3 อย่าดื่มน้ำชา
เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูงทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำ
ให้ย่อยยาก
ข้อห้าม 4 อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม
เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
ข้อห้าม 5 อย่าอาบน้ำหลังกินข้าวทันที
เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุ
ให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อย
อาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
ข้อห้าม 6 อย่าเดินหลังอาหาร
แม้คุณจะเคยได้ยินว่ากินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี
การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดีควรรออย่างน้อย
สักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
ข้อห้าม 7 อย่าดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ
หลังรับประทานอาหารการดื่มน้ำเย็นจัด อาจทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ได้
ข้อห้าม 8 อย่านอนหลับทันที
หลังจากทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ ควรที่จะนั่ง เพื่อรอให้อาหารย่อยให้เสร็จเสีย
ก่อนสักช่วงเวลานึง แล้วจึงค่อยนอน เพราะจำทำให้อาหารย่อยยาก
จึงอาจจะทำให้เกิดเชื้อโรค และเกิดลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ของเราได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วไม่ว่าหลังอาหารมื้อใดๆ ถ้าอดทนตามข้อห้ามนี้ได้ก็จะทำให้
คุณห่างไกลจากโรคและมีสุขภาพที่ดีได้
เครดิต: "healthydeedee.com"
Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/12/8_8.html"
วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
5 อาการมดลูกหย่อน ที่ผู้หญิงต้องสังเกต !
🔻5 อาการมดลูกหย่อน ที่ผู้หญิงต้องสังเกต !
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
หากคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัสสาวะบ่อย แต่ไม่สุด,ปัสสาวะเล็ด อาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะหย่อน หรือ ภาวะท้องผูก อาจเกิดจากปัญหาลำไส้ส่วนปลายหย่อน ซึ่งล้วนเป็นผลกระทบมาจาก “มดลูกหย่อน” แต่ยังมีอีกหลากหลายอาการที่บอกคุณกำลังเผชิญกับโรคนี้ เช่น
- รู้สึกหน่วงที่อุ้งเชิงกราน หรือรู้สึกมีบางสิ่งออกมาจากช่องคลอด มักดันกลับเข้าไปได้ หรือหุบเข้าไปได้เองเมื่อนอนราบ
- เลือดออกจากช่องคลอดแม้จะเข้าวัยทองแล้ว อาจร่วมกับมีตกขาวมากขึ้น
- ปัสสาวะได้ไม่สุด ปัสสาวะขัด มีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือขณะออกกำลังกาย
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบหลายครั้ง
- ท้องผูกเรื้อรังโดยไม่พบสาเหตุอื่น
➕ หากอาการดังกล่าวไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อแนะนำการรักษาได้อย่างตรงจุด หากการวินิจฉัยพบมีมดลูกหย่อน และมีอาการดังกล่าว แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยการผ่าตัด
ตัวเลือกในการผ่าตัด มีทั้งการตัดมดลูกทางช่องคลอด การเย็บกระชับช่องคลอด หรือการผ่าตัดส่องกล้อง
ปัจจุบันมีนวัตกรรมผ่าตัดส่องกล้องไร้แผล NOTES ที่ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นรอยโรคได้ชัดเจนขึ้น ทำให้การผ่าตัดแม่นยำมากขึ้น ไม่มีรอยแผล จะลดอาการเจ็บแผลหลังผ่าตัด และลดระยะเวลาในการพักฟื้นได้
พญ. จุฑาธิป พูนศรัทธา
สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
#ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🏥 ศูนย์สุขภาพสตรี "https://bit.ly/2J1P3MV"
📞 โทร. 02-734-0000 ต่อ 3200, 3204
_____________________________
อย่าลืมกด like และ 🌟กดติดดาว🌟 (see first) เพจ โรงพยาบาลเวชธานี-Vejthani Hospital เพื่อไม่พลาดข่าวสารสุขภาพและโปรโมชั่นดีๆ...
______________________________
#โรงพยาบาลเวชธานี #JCI #มาตรฐานJCI #โรงพยาบาลระดับสากล#เวชธานีลาดพร้าว111
💻 Website : "http://www.vejthani.com"
📞 Call Center : 02-734-0000
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
หากคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัสสาวะบ่อย แต่ไม่สุด,ปัสสาวะเล็ด อาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะหย่อน หรือ ภาวะท้องผูก อาจเกิดจากปัญหาลำไส้ส่วนปลายหย่อน ซึ่งล้วนเป็นผลกระทบมาจาก “มดลูกหย่อน” แต่ยังมีอีกหลากหลายอาการที่บอกคุณกำลังเผชิญกับโรคนี้ เช่น
- รู้สึกหน่วงที่อุ้งเชิงกราน หรือรู้สึกมีบางสิ่งออกมาจากช่องคลอด มักดันกลับเข้าไปได้ หรือหุบเข้าไปได้เองเมื่อนอนราบ
- เลือดออกจากช่องคลอดแม้จะเข้าวัยทองแล้ว อาจร่วมกับมีตกขาวมากขึ้น
- ปัสสาวะได้ไม่สุด ปัสสาวะขัด มีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือขณะออกกำลังกาย
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบหลายครั้ง
- ท้องผูกเรื้อรังโดยไม่พบสาเหตุอื่น
➕ หากอาการดังกล่าวไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อแนะนำการรักษาได้อย่างตรงจุด หากการวินิจฉัยพบมีมดลูกหย่อน และมีอาการดังกล่าว แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยการผ่าตัด
ตัวเลือกในการผ่าตัด มีทั้งการตัดมดลูกทางช่องคลอด การเย็บกระชับช่องคลอด หรือการผ่าตัดส่องกล้อง
ปัจจุบันมีนวัตกรรมผ่าตัดส่องกล้องไร้แผล NOTES ที่ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นรอยโรคได้ชัดเจนขึ้น ทำให้การผ่าตัดแม่นยำมากขึ้น ไม่มีรอยแผล จะลดอาการเจ็บแผลหลังผ่าตัด และลดระยะเวลาในการพักฟื้นได้
พญ. จุฑาธิป พูนศรัทธา
สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
#ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🏥 ศูนย์สุขภาพสตรี "https://bit.ly/2J1P3MV"
📞 โทร. 02-734-0000 ต่อ 3200, 3204
_____________________________
อย่าลืมกด like และ 🌟กดติดดาว🌟 (see first) เพจ โรงพยาบาลเวชธานี-Vejthani Hospital เพื่อไม่พลาดข่าวสารสุขภาพและโปรโมชั่นดีๆ...
______________________________
#โรงพยาบาลเวชธานี #JCI #มาตรฐานJCI #โรงพยาบาลระดับสากล#เวชธานีลาดพร้าว111
💻 Website : "http://www.vejthani.com"
📞 Call Center : 02-734-0000
หวานแบบไหนดี?
หวานแบบไหนดี?
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
น้ำตาลจากธรรมชาติ VS น้ำตาลเติมเอง
.
ปัจจุบัน ขนมหวานๆ น้ำหวานๆ มีขายมากมายหลายรูปแบบในท้องตลาด
ทำให้เด็กๆ รวมไปถึงผู้ใหญ่ ติดกินหวานกันโดยไม่รู้ตัว จนเกิดปัญหาโรคอ้วน และโรคฟันผุตามมา
.
ปัญหานี้เริ่มเป็นที่ตระหนักของคนทั่วไป เมื่อกระแสรักสุขภาพเป็นที่นิยม
ผู้คนก็เริ่ม ‘เลือก’ กินมากขึ้น มองหาของว่างที่หวานน้อยลงหรือไม่หวานเลย
แต่หลายคนก็สงสัยว่า แล้วผลไม้ หรืออาหารตามธรรมชาติที่มีรสหวาน
กับน้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปในอาหาร แตกต่างกันไหม แล้วแบบไหนดีกว่ากัน?
.
น้ำตาลจากธรรมชาติ (Intrinsic Sugar)
แหล่งที่มา:
มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ผักสด ผลไม้สด ธัญพืช นม
การดูดซึม: ดูดซึมช้า อิ่มนาน เพราะมีไฟเบอร์และสารอาหารอื่นร่วมด้วย เมื่อร่างกายได้พลังงานต่อเนื่องยาวนานและมีระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มคงที่สม่ำเสมอ
ทำให้มีพลังงานต่อเนื่อง ไม่หิวบ่อย
ประโยชน์: ให้พลังงาน และสารอาหารอื่น เช่น วิตามิน ไฟเบอร์ แร่ธาตุ
ปริมาณที่กินได้ต่อวัน:
ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เราควรกินผักผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน
(ยกเว้น มันฝรั่ง หรือพืชหัวต่างๆ)
-----------------------------------
น้ำตาลเติมเอง (Free Sugar)
แหล่งที่มา:
ถูกเติมเข้าไปในกระบวนการปรุง หรือแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม
เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำผึ้ง ฟรุกโตส คอร์นไซรัป
การดูดซึม: ดูดซึมเร็ว ทำให้รู้สึกมีพลังงานทันที
แต่เมื่อรับประทานมากไปจะถูกแปรรูปเป็นไขมัน สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ประโยชน์: ให้พลังงาน
ปริมาณที่กินได้ต่อวัน:
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า เราไม่ควรได้รับ Free Sugar เกิน 5% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน
หรือ ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน (ถ้าพลังงานที่กินต่อวันคือ 2000 kcal)
-----------------------------------
จากการเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า น้ำตาลจากธรรมชาตินั้นให้ประโยชน์มากกว่า เพราะผักผลไม้สด นมสด จะมีทั้งไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ พ่วงมาด้วย ทำให้ร่างกายค่อยๆดูดซึมไปใช้เป็นพลังงาน และรู้สึกไม่หิวบ่อย ในขณะที่น้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปในอาหาร หรือ Free Suger ทำให้อาหารมีรสหวานขึ้น ให้พลังงานสูงขึ้นชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพเข้ามาเลย แถมเมื่อรับประทานมากไปจะกลายไปเป็นไขมันสะสม ทำให้อ้วนอีกด้วย
.
ที่มา:
WHO
Lovefitt
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
น้ำตาลจากธรรมชาติ VS น้ำตาลเติมเอง
.
ปัจจุบัน ขนมหวานๆ น้ำหวานๆ มีขายมากมายหลายรูปแบบในท้องตลาด
ทำให้เด็กๆ รวมไปถึงผู้ใหญ่ ติดกินหวานกันโดยไม่รู้ตัว จนเกิดปัญหาโรคอ้วน และโรคฟันผุตามมา
.
ปัญหานี้เริ่มเป็นที่ตระหนักของคนทั่วไป เมื่อกระแสรักสุขภาพเป็นที่นิยม
ผู้คนก็เริ่ม ‘เลือก’ กินมากขึ้น มองหาของว่างที่หวานน้อยลงหรือไม่หวานเลย
แต่หลายคนก็สงสัยว่า แล้วผลไม้ หรืออาหารตามธรรมชาติที่มีรสหวาน
กับน้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปในอาหาร แตกต่างกันไหม แล้วแบบไหนดีกว่ากัน?
.
น้ำตาลจากธรรมชาติ (Intrinsic Sugar)
แหล่งที่มา:
มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ผักสด ผลไม้สด ธัญพืช นม
การดูดซึม: ดูดซึมช้า อิ่มนาน เพราะมีไฟเบอร์และสารอาหารอื่นร่วมด้วย เมื่อร่างกายได้พลังงานต่อเนื่องยาวนานและมีระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มคงที่สม่ำเสมอ
ทำให้มีพลังงานต่อเนื่อง ไม่หิวบ่อย
ประโยชน์: ให้พลังงาน และสารอาหารอื่น เช่น วิตามิน ไฟเบอร์ แร่ธาตุ
ปริมาณที่กินได้ต่อวัน:
ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เราควรกินผักผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน
(ยกเว้น มันฝรั่ง หรือพืชหัวต่างๆ)
-----------------------------------
น้ำตาลเติมเอง (Free Sugar)
แหล่งที่มา:
ถูกเติมเข้าไปในกระบวนการปรุง หรือแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม
เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำผึ้ง ฟรุกโตส คอร์นไซรัป
การดูดซึม: ดูดซึมเร็ว ทำให้รู้สึกมีพลังงานทันที
แต่เมื่อรับประทานมากไปจะถูกแปรรูปเป็นไขมัน สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ประโยชน์: ให้พลังงาน
ปริมาณที่กินได้ต่อวัน:
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า เราไม่ควรได้รับ Free Sugar เกิน 5% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน
หรือ ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน (ถ้าพลังงานที่กินต่อวันคือ 2000 kcal)
-----------------------------------
จากการเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า น้ำตาลจากธรรมชาตินั้นให้ประโยชน์มากกว่า เพราะผักผลไม้สด นมสด จะมีทั้งไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ พ่วงมาด้วย ทำให้ร่างกายค่อยๆดูดซึมไปใช้เป็นพลังงาน และรู้สึกไม่หิวบ่อย ในขณะที่น้ำตาลที่ถูกเติมเข้าไปในอาหาร หรือ Free Suger ทำให้อาหารมีรสหวานขึ้น ให้พลังงานสูงขึ้นชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพเข้ามาเลย แถมเมื่อรับประทานมากไปจะกลายไปเป็นไขมันสะสม ทำให้อ้วนอีกด้วย
.
ที่มา:
WHO
Lovefitt
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
ดูแลสายตาด้วย 4 ท่าบริหารง่ายๆ
ดูแลสายตาด้วย 4 ท่าบริหารง่ายๆ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
สายตาพลันเหนื่อยล้าขึ้นมา~
ดูแลสายตาด้วย 4 ท่าบริหารง่ายๆ
.
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานมากขึ้น ทำให้งานจำนวนมาก ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่มีหน้าจอต่างๆ ในการทำงาน และการจ้องหน้าจอนานๆ หลายชั่วโมงติดต่อกันในแต่ละวัน อาจทำให้เรารู้สึกเมื่อยล้าสายตา ปวดตา ไปจนถึงปวดหัวได้
.
#โรครว้ายๆวัยทำงาน นำท่าบริหารตา ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ระหว่างการทำงานมาฝากกันค่ะ
.
1. กะพริบตา
วิธีง่ายๆ ด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย โดยการกะพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยในการลดความรู้สึกระคายเคือง จากอาการตาแห้ง เนื่องจากการกะพริบตาจะช่วยเพิ่มให้น้ำหล่อเลี้ยงได้ทั่วดวงตา
.
2. ใช้ฝ่ามือกดตาเบาๆ
ท่านี้จะช่วยพักสายตาจากแสงสว่าง
วางฝ่ามือบนเปลือกตาที่ปิดสนิท
กดเบาๆ เป็นเวลา 1 นาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง
จนรู้สึกสบายขึ้น (ควรถอดแว่น หรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน)
.
3. มองไกลๆ
โดยใช้กฎ 20-20-20 ทุก 20 นาที
ควรพักสายตาออกจากการใช้คอมพิวเตอร์
มองออกไปไกล 20 ฟุต หรือมองให้ไกลสุดสายตา
หลับตาหรือพักสายตานาน 20 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้พัก หรือหากมองไปยังสนามหญ้าเขียวๆ
ก็จะช่วยทำให้คลายความเครียดได้อีกด้วย
.
4. กลอกตาเป็นวงกลม
กลอกตามองไปรอบๆ กว้างๆ ทำตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ
และทวนเข็มนาฬิกาอีก 3 รอบ
.
นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยในการถนอมและลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้ ดังนี้
- ปรับความสว่างในสภาพแวดล้อมการทำงานให้พอดี ไม่จ้าเกินไป ไม่มืดเกินไป
- ปรับระยะห่างระหว่างดวงตาและหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ บำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีสีเหลือง จะเป็นแหล่งของวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนที่บำรุงสายตาได้ดี
- หลังจากเลิกงานในแต่ละวัน ควรพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ ไม่ทำกิจกรรมที่ต้องเพ่งสายตา เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือหรือดูโทรทัศน์ติดต่อกันนานๆ โดยให้หากิจกรรมอื่นๆ ทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา/ออกกำลังกาย เป็นต้น
.
ที่มา: สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
สายตาพลันเหนื่อยล้าขึ้นมา~
ดูแลสายตาด้วย 4 ท่าบริหารง่ายๆ
.
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานมากขึ้น ทำให้งานจำนวนมาก ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่มีหน้าจอต่างๆ ในการทำงาน และการจ้องหน้าจอนานๆ หลายชั่วโมงติดต่อกันในแต่ละวัน อาจทำให้เรารู้สึกเมื่อยล้าสายตา ปวดตา ไปจนถึงปวดหัวได้
.
#โรครว้ายๆวัยทำงาน นำท่าบริหารตา ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ระหว่างการทำงานมาฝากกันค่ะ
.
1. กะพริบตา
วิธีง่ายๆ ด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย โดยการกะพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยในการลดความรู้สึกระคายเคือง จากอาการตาแห้ง เนื่องจากการกะพริบตาจะช่วยเพิ่มให้น้ำหล่อเลี้ยงได้ทั่วดวงตา
.
2. ใช้ฝ่ามือกดตาเบาๆ
ท่านี้จะช่วยพักสายตาจากแสงสว่าง
วางฝ่ามือบนเปลือกตาที่ปิดสนิท
กดเบาๆ เป็นเวลา 1 นาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง
จนรู้สึกสบายขึ้น (ควรถอดแว่น หรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน)
.
3. มองไกลๆ
โดยใช้กฎ 20-20-20 ทุก 20 นาที
ควรพักสายตาออกจากการใช้คอมพิวเตอร์
มองออกไปไกล 20 ฟุต หรือมองให้ไกลสุดสายตา
หลับตาหรือพักสายตานาน 20 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้พัก หรือหากมองไปยังสนามหญ้าเขียวๆ
ก็จะช่วยทำให้คลายความเครียดได้อีกด้วย
.
4. กลอกตาเป็นวงกลม
กลอกตามองไปรอบๆ กว้างๆ ทำตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ
และทวนเข็มนาฬิกาอีก 3 รอบ
.
นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยในการถนอมและลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้ ดังนี้
- ปรับความสว่างในสภาพแวดล้อมการทำงานให้พอดี ไม่จ้าเกินไป ไม่มืดเกินไป
- ปรับระยะห่างระหว่างดวงตาและหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ บำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีสีเหลือง จะเป็นแหล่งของวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนที่บำรุงสายตาได้ดี
- หลังจากเลิกงานในแต่ละวัน ควรพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ ไม่ทำกิจกรรมที่ต้องเพ่งสายตา เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือหรือดูโทรทัศน์ติดต่อกันนานๆ โดยให้หากิจกรรมอื่นๆ ทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา/ออกกำลังกาย เป็นต้น
.
ที่มา: สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
Big Story เตือนภัยโรคตับคั่งไขมัน (RAMA CHANNEL)
Big Story เตือนภัยโรคตับคั่งไขมัน (RAMA CHANNEL)
ขอบพระคุณข้อมูล RAMA CHANNEL
ขอบพระคุณข้อมูล RAMA CHANNEL
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม (Lumbar Spondylosis) เป็นสาเหตุหนึ่งของ
อาการ"ปวดหลังเรื้อรัง" 💢 ความจริงเกี่ยวกับกระดูกสันหลังเสื่อมเป็นอย่างไร
เรามาดูกันค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี 📱สอบถาม/จองคิว คลิก
👉"http://bit.ly/AriyaWellnessCenter"
หรือ ☎ 02-677-7166 - 7
เมื่อเอ่ยถึงโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าตัวกระดูกเองที่เสื่อม
อันที่จริงความเสื่อมเริ่มเกิดขึ้นจากหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งตัวหมอน
รองกระดูกจะมีหน้าที่ช่วยลดแรงกระแทก ทำให้การเคลื่อนไหวของหลังเกิด
ขึ้นได้อย่างคล่องตัว หากกล้ามเนื้อแกนกลางกระดูกสันหลังไม่แข็งแรงพอ ก็
มักทำให้หมอนรองกระดูกต้องถูกกระแทกมาก ยิ่งใช้ร่างกายหนัก ก็ยิ่งทำ
หมอนรองกระดูกเสื่อมได้เร็ว และเมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมแล้ว หากไม่
รักษาหรือดูแลได้ไม่ถูกทาง ความเสื่อมก็เริ่มลุกลามไปที่ข้อต่อ เส้นเอ็น กระดูก
และกล้ามเนื้อ ส่งผลให้หลังขาดความยืดหยุ่น แข็งตัว ทรุด มีแรงเสียดสี เกิด
หินปูนหรือกระดูกงอก (Spur หรือ Osteophyte) ทำให้เกิดการหนาตัว
ของข้อต่อ การหนาตัวของเส้นเอ็นที่ให้ความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และทำ
ให้รุนแรงกลายเป็นโพรงประสาทตีบแคบ (Spinal Stenosis) ในที่สุด
ความน่ากลัวของโรคนี้ไม่เพียงแค่มีอาการปวดหลัง ปวดสะโพก หรือปวดร้าว
ลงขาเท่านั้น แต่อาจทำให้กระดูกทรุดทับเส้นประสาท ทำให้ชา ซ่าๆ ตามแนว
ของเส้นประสาท อ่อนแรง อาจทำให้เดินไม่ได้ หรือเป็นอัมพาตได้ หากไม่ได้
รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
อาการของโรคนี้มักเริ่มต้นจากปวดเมื่อยหลังธรรมดา แล้วรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
แต่ไม่ได้รับการรักษาให้ถูกทาง อาจเคยมีประวัติหมอนรองกระดูกปลิ้นหรือ
แคบมาก่อน เคยล้มหรือได้รับอุบัติเหตุ ก้นหรือหลังกระแทก ซึ่งโรคนี้จะถูก
วินิจฉัยว่ากระดูกเสื่อม – โพรงประสาทตีบแคบ ส่วนใหญ่ก็มักรุนแรงค่อนข้าง
มากแล้ว อาการแสดงของโรคนี้มีดังนี้
💢 อาจเริ่มปวดหลัง ปวดร้าวลงสะโพกหรือขา
💢 ปวดตรงบั้นเอวต่อกับสะโพก
💢 ยืนและเดินนานเหมือนขาจะทรุด ไม่มีแรงเดินต่อ เข่าอ่อน
💢 ดีขึ้นเมื่อนั่ง หรือได้นอนพัก
💢 จะเป็นมากขึ้นหรือปวดมากขึ้นทุกครั้ง เมื่อยืนหรือเดินนาน (ขึ้นอยู่กับความ
รุนแรง)
💢 ตื่นนอนมาแล้วรู้สึกปวดหลัง ขยับหลังพลิกลุกลำบาก
💢 ขยับตัว เอี้ยวตัว เปลี่ยนท่ามักรู้สึกเสียวแปล๊บที่หลัง
ฯลฯ
หลังเสื่อมนั้นหากเราใช้ร่างกายหนัก ก็มักเกิดการกดอัดเพิ่มที่หมอนรองกระดูก
โรคนี้อาจพบมากในคนสูงวัย คือพบตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปก็จริง แต่ปัจจุบัน
ก็พบในวัยทำงาน เด็กวัยรุ่นที่เล่นกีฬาที่มีการกระแทกหนักๆ และบ่อยครั้ง
ซึ่งการเล่นกีฬาหนักๆ หากสภาพร่างกายไม่แข็งแรงหรือไม่ได้ออกกำลังกล้าม
เนื้อส่วนที่เป็นตัวพยุงแกนกลางระดูกสันหลังเลย ก็มักทำให้เป็นโรคหมอน
รองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ หรือเคสที่ไม่ออกกำลังกายเลย นั่งนาน เช่น
คนทำงานออฟฟิต ผู้บริหารที่นั่งประชุมทั้งวันโดยไม่ค่อยได้เปลี่ยนอิริยาบถ
เหล่านี้ก็มักทำให้พบว่า ที่สุดก็จะทำให้เสี่ยงต่อกระดูกเสื่อม....
📌 การรักษาโรคนี้หากเริ่มแก้ไขตั้งแต่เนิ่น เช่น เริ่มจัดการตั้งแต่เริ่มรู้สึกปวด
หลัง ไม่ละเลยกับอาการปวด ไม่ละเลยกับเสียงเตือนต่างๆ ของร่างกายที่กำลัง
บอกบางสิ่งอยู่ ก็จะทำให้การรักษาง่ายและหายขาดได้ไม่ยาก แต่หากปล่อย
ไว้นานก็มักต้องทรมาน ปวดมาก กระทบถึงเส้นประสาท ไม่แค่ปวด แต่จะทั้ง
ชาและอ่อนแรง การรักษายาก พัฒนาการของการรักษาก็ช้านาน หรือการ
รักษาก็มักไม่มีทางเลือก นอกจากการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว และที่น่ากลัวกว่า
คือ การผ่าตัดก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาโรคนี้ได้ 100%
ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดเสียว หรือปวดร้าวลงขา หรือยืนเดิน
นานเหมือนเข่าทรุด ล้าขา ไม่ควรปล่อยไว้ ควรรีบตรวจและพบผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษา ซึ่งปัจจุบันมีการรักษาที่ไม่
ต้องผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และความแข็งแรงพื้นฐานของร่างกาย
ของเคส ความก้าวหน้าของการรักษาทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ ด้วยการปรับ
โครงสร้างร่างกาย เป็นการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางกระดูก
สันหลัง และกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลัง การคลายกล้ามเนื้อที่มีการตึงรั้งหรือหด
สั้น สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง คลายความตึงตัวของกล้าม
เนื้อที่เป็นทางผ่านของเส้นประสาท พร้อมเรียนรู้การใช้ชีวิตประจำที่ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้กระตุ้นอาการของโรคนี้ ฯลฯ การรักษากระดูกสันหลังเสื่อมที่ไม่
ต้องผ่าตัดนี้จะได้ผลดีมากในเคสที่พึ่งเริ่มมีภาวะเสื่อม นั่นหมายความว่า หาก
เราฟังเสียงเตือนของร่างกายตั้งแต่เริ่มแรก เราก็สามารถจัดการกับปัญหา
ความปวดได้เร็วและมีประสิทธิภาพมาก อาการปวดหลังยังไม่หมดเท่านี้นะคะ
ยังมีปวดหลังจากภาวะอื่นๆ อีก แล้วพบกันค่ะ
-----🔆-----✨-----
สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ
Website: "www.ariyawellness.com"
Line@ : @ariyawellness
📞 092 326 9636, 📞 02 677 7166 - 7
เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม (Lumbar Spondylosis) เป็นสาเหตุหนึ่งของ
อาการ"ปวดหลังเรื้อรัง" 💢 ความจริงเกี่ยวกับกระดูกสันหลังเสื่อมเป็นอย่างไร
เรามาดูกันค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี 📱สอบถาม/จองคิว คลิก
👉"http://bit.ly/AriyaWellnessCenter"
หรือ ☎ 02-677-7166 - 7
เมื่อเอ่ยถึงโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าตัวกระดูกเองที่เสื่อม
อันที่จริงความเสื่อมเริ่มเกิดขึ้นจากหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งตัวหมอน
รองกระดูกจะมีหน้าที่ช่วยลดแรงกระแทก ทำให้การเคลื่อนไหวของหลังเกิด
ขึ้นได้อย่างคล่องตัว หากกล้ามเนื้อแกนกลางกระดูกสันหลังไม่แข็งแรงพอ ก็
มักทำให้หมอนรองกระดูกต้องถูกกระแทกมาก ยิ่งใช้ร่างกายหนัก ก็ยิ่งทำ
หมอนรองกระดูกเสื่อมได้เร็ว และเมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมแล้ว หากไม่
รักษาหรือดูแลได้ไม่ถูกทาง ความเสื่อมก็เริ่มลุกลามไปที่ข้อต่อ เส้นเอ็น กระดูก
และกล้ามเนื้อ ส่งผลให้หลังขาดความยืดหยุ่น แข็งตัว ทรุด มีแรงเสียดสี เกิด
หินปูนหรือกระดูกงอก (Spur หรือ Osteophyte) ทำให้เกิดการหนาตัว
ของข้อต่อ การหนาตัวของเส้นเอ็นที่ให้ความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และทำ
ให้รุนแรงกลายเป็นโพรงประสาทตีบแคบ (Spinal Stenosis) ในที่สุด
ความน่ากลัวของโรคนี้ไม่เพียงแค่มีอาการปวดหลัง ปวดสะโพก หรือปวดร้าว
ลงขาเท่านั้น แต่อาจทำให้กระดูกทรุดทับเส้นประสาท ทำให้ชา ซ่าๆ ตามแนว
ของเส้นประสาท อ่อนแรง อาจทำให้เดินไม่ได้ หรือเป็นอัมพาตได้ หากไม่ได้
รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
อาการของโรคนี้มักเริ่มต้นจากปวดเมื่อยหลังธรรมดา แล้วรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
แต่ไม่ได้รับการรักษาให้ถูกทาง อาจเคยมีประวัติหมอนรองกระดูกปลิ้นหรือ
แคบมาก่อน เคยล้มหรือได้รับอุบัติเหตุ ก้นหรือหลังกระแทก ซึ่งโรคนี้จะถูก
วินิจฉัยว่ากระดูกเสื่อม – โพรงประสาทตีบแคบ ส่วนใหญ่ก็มักรุนแรงค่อนข้าง
มากแล้ว อาการแสดงของโรคนี้มีดังนี้
💢 อาจเริ่มปวดหลัง ปวดร้าวลงสะโพกหรือขา
💢 ปวดตรงบั้นเอวต่อกับสะโพก
💢 ยืนและเดินนานเหมือนขาจะทรุด ไม่มีแรงเดินต่อ เข่าอ่อน
💢 ดีขึ้นเมื่อนั่ง หรือได้นอนพัก
💢 จะเป็นมากขึ้นหรือปวดมากขึ้นทุกครั้ง เมื่อยืนหรือเดินนาน (ขึ้นอยู่กับความ
รุนแรง)
💢 ตื่นนอนมาแล้วรู้สึกปวดหลัง ขยับหลังพลิกลุกลำบาก
💢 ขยับตัว เอี้ยวตัว เปลี่ยนท่ามักรู้สึกเสียวแปล๊บที่หลัง
ฯลฯ
หลังเสื่อมนั้นหากเราใช้ร่างกายหนัก ก็มักเกิดการกดอัดเพิ่มที่หมอนรองกระดูก
โรคนี้อาจพบมากในคนสูงวัย คือพบตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปก็จริง แต่ปัจจุบัน
ก็พบในวัยทำงาน เด็กวัยรุ่นที่เล่นกีฬาที่มีการกระแทกหนักๆ และบ่อยครั้ง
ซึ่งการเล่นกีฬาหนักๆ หากสภาพร่างกายไม่แข็งแรงหรือไม่ได้ออกกำลังกล้าม
เนื้อส่วนที่เป็นตัวพยุงแกนกลางระดูกสันหลังเลย ก็มักทำให้เป็นโรคหมอน
รองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ หรือเคสที่ไม่ออกกำลังกายเลย นั่งนาน เช่น
คนทำงานออฟฟิต ผู้บริหารที่นั่งประชุมทั้งวันโดยไม่ค่อยได้เปลี่ยนอิริยาบถ
เหล่านี้ก็มักทำให้พบว่า ที่สุดก็จะทำให้เสี่ยงต่อกระดูกเสื่อม....
📌 การรักษาโรคนี้หากเริ่มแก้ไขตั้งแต่เนิ่น เช่น เริ่มจัดการตั้งแต่เริ่มรู้สึกปวด
หลัง ไม่ละเลยกับอาการปวด ไม่ละเลยกับเสียงเตือนต่างๆ ของร่างกายที่กำลัง
บอกบางสิ่งอยู่ ก็จะทำให้การรักษาง่ายและหายขาดได้ไม่ยาก แต่หากปล่อย
ไว้นานก็มักต้องทรมาน ปวดมาก กระทบถึงเส้นประสาท ไม่แค่ปวด แต่จะทั้ง
ชาและอ่อนแรง การรักษายาก พัฒนาการของการรักษาก็ช้านาน หรือการ
รักษาก็มักไม่มีทางเลือก นอกจากการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว และที่น่ากลัวกว่า
คือ การผ่าตัดก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาโรคนี้ได้ 100%
ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดเสียว หรือปวดร้าวลงขา หรือยืนเดิน
นานเหมือนเข่าทรุด ล้าขา ไม่ควรปล่อยไว้ ควรรีบตรวจและพบผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษา ซึ่งปัจจุบันมีการรักษาที่ไม่
ต้องผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และความแข็งแรงพื้นฐานของร่างกาย
ของเคส ความก้าวหน้าของการรักษาทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ ด้วยการปรับ
โครงสร้างร่างกาย เป็นการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางกระดูก
สันหลัง และกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลัง การคลายกล้ามเนื้อที่มีการตึงรั้งหรือหด
สั้น สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง คลายความตึงตัวของกล้าม
เนื้อที่เป็นทางผ่านของเส้นประสาท พร้อมเรียนรู้การใช้ชีวิตประจำที่ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้กระตุ้นอาการของโรคนี้ ฯลฯ การรักษากระดูกสันหลังเสื่อมที่ไม่
ต้องผ่าตัดนี้จะได้ผลดีมากในเคสที่พึ่งเริ่มมีภาวะเสื่อม นั่นหมายความว่า หาก
เราฟังเสียงเตือนของร่างกายตั้งแต่เริ่มแรก เราก็สามารถจัดการกับปัญหา
ความปวดได้เร็วและมีประสิทธิภาพมาก อาการปวดหลังยังไม่หมดเท่านี้นะคะ
ยังมีปวดหลังจากภาวะอื่นๆ อีก แล้วพบกันค่ะ
-----🔆-----✨-----
สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ
Website: "www.ariyawellness.com"
Line@ : @ariyawellness
📞 092 326 9636, 📞 02 677 7166 - 7
เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!
กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!! ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคก...
-
เลือกกินตามสัญญาณไฟ ขอบพระคุณข้อมูล จาก สสส #กินตามสัญญาณไฟ . ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง คือ การกิน แต่ถ้าเรามีพฤติก...
-
การดูแลรักษาอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายที่น่าสนใจ ขอบพระคุณเจ้าของภาพ
-
อาการผิดปกติหลังบาดเจ็บที่ศีรษะที่ต้องกลับไปพบแพทย์ . #บาดเจ็บศีรษะ หมายถึง ผู้บาดเจ็บมีลักษณะ ดังต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่า เช...