วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด


ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

"ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมันสำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก"ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67
ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15มิลลิกรัมต่อวัน


อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ
กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือ

บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล


กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย(Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


1.ทับทิม

ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม


2.แก้วมังกร

อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึงผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)


3.สตรอว์เบอร์รี่

ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสียจากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น


4.กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of  Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วย
เป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


5.แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัวไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

สุขกายสบายใจ ฉบับ 08 ตุลาคม 2554

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

หายใจติดขัดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคหัวใจล้มเหลวอยู่!

หายใจติดขัดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคหัวใจล้มเหลวอยู่!
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นภาวะอันตรายอันเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตเฉียบพลัน แต่คุณสามารถป้องกันตัวเองจากภัยเงียบนี้ได้ด้วยการสังเกตความผิดปกติของร่างกาย และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เหมาะกับสุขภาพในแต่ละช่วงวัยของคุณ

อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเสี่ยงหัวใจล้มเหลวคือ
1. รู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก เมื่อออกกำลังกาย
2. หายใจลำบากเมื่อนอนหงาย / นอนราบ
3. ตื่นกลางดึกเพราะไอ หรือหายใจลำบาก
4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
5. ข้อเท้า, เท้าหรือขาบวม
6. เวียนศีรษะ หน้ามืด
7. เข้าห้องน้ำบ่อยตอนกลางคืน

หากคุณมีอาการเหล่านี้เกินกว่า 2-3 ข้อ รีบพบแพทย์ด่วนก่อนจะโรคหัวใจจะเล่นงานคุณไม่รู้ตัว

ศึกษาอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มเติมได้ที่นี่:
"www.everybeatmatters.in.th/about-heart-failure/recognizing-signs-symptoms/"

 #EveryBeatMatters #ภาวะหัวใจล้มเหลว #อาการ

ลักษณะอาการต่อไปนี้ จะเป็นอาการที่ชัดเจนของโรคเข่าเสื่อม

"ปวดเข่า" อาจเกิดได้จากสาเหตุต่างๆกัน วันนี้ขอนำเสนอลักษณะของอาการ "เข่าเสื่อม" ท่านที่ #ปวดเข่า บ่อยๆ ลองไปเช็คกันดูค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี 📱สอบถาม/จองคิว คลิก 👉"http://bit.ly/AriyaWellnessCenter"
หรือ ☎ 02 677 7166 - 7

ลักษณะอาการต่อไปนี้ จะเป็นอาการที่ชัดเจนของโรคเข่าเสื่อมค่ะ

💢 ปวดเข่า โดยปกติจะปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหว หรือมีการเดินลงน้ำหนัก แต่เมื่อพักจะดีขึ้น หรือเมื่อนั่งในท่างอเข่า พับเข่านานๆ จะปวดในข้อเข่า เปลี่ยนท่าทางจะดีขึ้น จังหวะ

แรกที่จะขยับเข่าเหยียดออกจะปวดมาก ถ้าอาการค่อนข้างรุนแรงแล้วจะปวดตลอดเวลา

💢 ข้อติดแข็ง ส่วนมากจะพบในตอนเช้าเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ หรือเมื่ออยู่ในท่าทางใดท่าทางหนึ่งนานๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้ขยับ

💢 บวมรอบข้อเข่า อาจพบร่วมกับอาการแดงและร้อนเมื่อลองคลำบริเวณรอบเข่า

💢 มีการผิดรูปของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากผิวข้อ (Cartilage) บางลง แล้วตัวกระดูกมีการเสียดสีกัน จนเกิดกระดูกงอก ทำให้เข่าผิดรูปและขยายตัว จึงพบว่าผู้ที่มีเข่าเสื่อมรุนแรงรอบ

ข้อเข่าจะใหญ่ขึ้น

💢 มีเสียงดังภายในข้อเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหว ซึ่งเสียงที่เกิดขึ้นอาจมาจากการเสียดสีของผิวข้อภายในข้อเข่า

ท่านใดมีลักษณะอาการเพียง 3 ใน 5 ข้อ ก็จัดได้ว่ามีแนวโน้มเป็นอาการของข้อเข่าเสื่อมค่ะ และหากเป็นข้อเข่าเสื่อม เมื่อมีการ X-Ray จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกข้อเข่า

จะแคบลง กระดูกผิวข้อบางลง และอาจพบกระดูกงอกได้

-----🔆-----✨-----

สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ
Website: "www.ariyawellness.com"
Line@ : @ariyawellness
📞 092 326 9636, 📞 02 677 7166 - 7
เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2562

ยืนทำงานนานๆ ต้องระวัง

ยืนทำงานนานๆ ต้องระวัง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

มีจุดยืน แต่ยืนไม่ไหว
ยืนทำงานนานๆ ต้องระวัง
.
ใครที่มีอาชีพ หรือความจำเป็นที่จะต้องทำงานที่ยืนนานๆ ยกมือขึ้น!
ถ้าคุณรู้สึกปวดที่บริเวณน่อง เท้าและหลัง แปลว่าคุณอาจได้รับผลกระทบจากการทำงานที่ยืนนานๆ นี้แล้ว
.
ตัวอย่างอาชีพที่ต้องยืนนานๆ
พนักงานร้านค้าปลีก  พนักงานต้อนรับตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ หรือโรงแรม  แคชเชียร์ พนักงานรักษาความปลอดภัย แพทย์และพยาบาล คนทำอาหาร ช่างเสริมสวย พนักงานซักรีด หรือพนักงานในโรงงาน เช่น ยืนขณะประกอบอุปกรณ์ต่างๆ ยืนแกะกุ้งหรือชำแหละไก่ เป็นต้น
.
ยืนนานมีผลเสียอย่างไร
การยืนนานๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้ 4 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ดังนี้
.
- กล้ามเนื้อน่องและต้นขา
ขณะยืนกล้ามเนื้อน่องแบกรับน้ำหนักตัวทั้งตัว ปกติแล้วกล้ามเนื้อน่องมีความแข็งแรงมาก แต่ถ้าต้องยืนอยู่นานๆ กล้ามเนื้อน่องต้องเกร็งตัวตลอดเวลา จะทำให้มีของเสียคั่งค้างมาก เกิดอาการปวดเมื่อยได้
.
กล้ามเนื้อต้นขามีหน้าที่หลัก คือการพยุงหัวเข่าไม่ให้พับลงในขณะยืน ขณะยืนนานกล้ามเนื้อต้นขาต้องเกร็งตัวตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการล้าสะสมของกล้ามเนื้อ และเกิดอาการปวดที่ต้นขาได้
.
การใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้กล้ามเนื้อน่องปวดเมื่อยมากขึ้น เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายตกไปทางด้านหน้า กล้ามเนื้อน่องจะต้องคอยดึงร่างกายไม่ให้ล้มไปข้างหน้า ดังนั้น การใส่ส้นสูงร่วมกับการยืนนานมีผลทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน่องได้ง่ายยิ่งขึ้น
.
- เท้า
การยืนนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่อยู่ในอุ้งเท้าเราต้องทำงานหนัก เนื่องมาจากสาเหตุที่เนื้อเยื่อบริเวณฝ่าเท้าถูกน้ำหนักตัวกดทับอยู่นาน ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าขึ้นได้ โดยอาการปวดที่พบได้บ่อยคือ ส้นเท้า ฝ่าเท้าอักเสบ หรือรองช้ำ คือจะมีอาการเจ็บมากขณะเท้าเหยียบพื้นเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
.
- หลอดเลือดบริเวณขา
การยืนทำงานนานๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี โดยเฉพาะบริเวณน่อง ต้นขา เกิดแรงดันภายในหลอดเลือดดำ บริเวณใกล้ชั้นผิวหนังที่ขยายตัวบวมออกมา และมีเลือดมาสะสมมากจนเห็นเป็นเส้นเลือดสีฟ้าหรือม่วงเข้ม จนกลายเป็นเส้นเลือดขอด
.
- เข่าและหลัง
การยืนทำให้เกิดแรงกดไปที่หัวเข่า เมื่อเมื่อยล้า ร่างกายจะพยายามล็อกหัวเข่า ทำให้เข่าแอ่น และหลังแอ่นมากขึ้น จนเกิดเป็นอาการปวดเข่าและหลัง
.
ป้องกัน/แก้ไข
.
- ใช้เก้าอี้แบบกึ่งนั่งกึ่งยืน
เพื่อช่วยลดแรงกดที่เท้า ไม่ให้เมื่อยขา
.
- ใช้ที่พักขา
เพื่อช่วยให้หายเมื่อยและลดการแอ่นของหลัง
.
- รองเท้าพื้นนิ่ม สวมใส่สบาย
ถ้าต้องยืนนานๆ ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นนิ่ม สวมใส่สบาย หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงยืนนานๆ เพื่อลดแรงกดที่เท้า หรือพยายามยืนบนพื้นที่นิ่มที่สุด
.
- บริหารกล้ามเนื้อและออกกำลังกาย
.
การบริหารกล้ามเนื้อและร่างกาย จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่ขาและเท้าได้ดีขึ้น #โรครว้ายๆวัยทำงาน มีท่าบริหารขาง่ายๆ มาฝาก คือ การนอนเอาเท้ายันกับกำแพงให้เท้าอยู่สูงจากพื้นประมาณครึ่งเมตร แล้วกระดกปลายเท้าขึ้น ทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง ทำประมาณ 10 นาที
.
รวมถึงควรออกกำลังด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นเวลา 15-20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นกิจวัตรด้วย
.
ที่มา:
.
"doctor.or.th"
"paolophahol.com"

อาการบ่งชี้ ของเส้นเลือด อุดตันในสมอง

อาการบ่งชี้ ของเส้นเลือด อุดตันในสมอง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

<<<

ระหว่างงานเลี้ยงบาร์บีคิว เพื่อนคนหนึ่ง สะดุดล้มลง ไปกองกับพื้น แต่เธอบอก กับทุกคนว่า เธอไม่เป็นไร?
(เพื่อนๆ ถามว่า จะให้เรียก แพทย์เคลื่อนที่มั้ย) เธอบอกว่า เธอแค่สะดุดก้อนหิน เพราะยังไม่ชิน ที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา

ทุกคนช่วยกัน ปัดเศษสกปรก ออกไปจากตัวเธอ และไปตักอาหาร มาให้ใหม่ ตัวเธอ เอง หลังจากนั้น รู้สึกว่า จะมีอาการ สั่นเล็กน้อย แต่ก็ สนุกสนานดี ตลอดเย็นวันนั้น
หลังจากนั้น สามีของเธอ โทรหาเพื่อนๆ ทุกคนว่า ภรรยา ถูกนำตัว ส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิต ในเวลาต่อมา) เธอมีอาการ ของเส้นเลือดอุดตัน ในสมอง ตั้งแต่ตอนที่ อยู่ในงาน เลี้ยงบาร์บีคิวแล้ว ถ้าทุกคนรู้ว่า เธอมีอาการนี้ เสียตั้งแต่แรก บางทีเธอ อาจจะยังอยู่ กับพวกเรา ในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิต อย่างคนสิ้นหวัง และช่วยเหลือ ตัวเองไม่ได้


แพทย์ด้าน ประสาทวิทยา กล่าวว่า ถ้าแพทย์สามารถ ไปถึงตัวผู้ป่วย เส้นเลือดสมอง อุดตันได้ ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถ ช่วยชีวิต ผู้ป่วย
ได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือ ต้องทราบว่า ผู้ป่วยมีอาการ ของโรคนี้ ซึ่งวินิจฉัยได้ จากนั้น ก็ให้การรักษา ภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้น เป็นไปได้ยากอยู่

บางครั้ง อาการของโรค เส้นเลือด สมองอุดตัน ก็เป็นการยาก ที่จะรู้กันได้

แต่หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้าง ก็
สามารถรู้ อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดัง นี้


1. S = SMILE คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม
2. T = TALK คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะ เป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ
3. R = RAISE BOTH ARMS คือบอกให้ผู้ป่วย ยกแขน ทั้งสองข้างขึ้น


ถ้าผู้ป่วย มีความลำบาก ในการทำ ข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หา เบอร์ฉุกเฉินทันที และแจ้งไปว่า ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร


หมายเหตุ : สัญญาณ อีกประการหนึ่ง ก็คือ ลองให้ผู้ป่วย แลบลิ้นออกมา หากลิ้น มีลักษณะ ม้วนงอ ตกไป ด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือ ข้อบ่งชี้ว่า มีอาการ เส้นเลือด สมองอุดตัน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านหัวใจบอกว่า หากคุณได้รับอีเมล์นี้ และส่งต่อไปอีก 10 คน อาจมีผล ทำให้สามารถ ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ อย่างน้อย 1 คน ก็ได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมรักษ์สุขภาพ

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562

กระดูก ทำไม? พรุน

กระดูก ทำไม? พรุน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์


วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

แนะนำวิธีที่จะทำให้เรามีกระดูกที่แข็งแรง

แนะนำวิธีที่จะทำให้เรามีกระดูกที่แข็งแรง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

รองศาสตราจารย์นายแพทย์ ปัญญา ไข่มุก
กรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แนะนำวิธีที่จะทำให้เรามีกระดูกที่แข็งแรง ดังนี้

★กินอาหารที่มีแคลเซียมจากธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็น น้ำซุปกระดูก นมและผลิตภัณฑ์จากนม น้ำเต้าหู้ ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ

★หาโอกาสให้ผิวหนังได้รับแสงแดด วันละประมาณ 20 นาที โดยอย่าทาครีมกันแดดในบริเวณที่ต้องการให้โดนแสงแดด เพราะวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกมีพลังยับยั้งไม่ให้เกิดการหกล้ม

★หลีกเลี่ยง งด หรือ ลด การดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อตับ และไต มีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมในกระแสเลือด
(ตับและไต เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำการเบิกจ่ายวิตามินดีที่เก็บสะสมในใต้ผิวหนังไปใช้ในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือด)

★หมั่นเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย และฝึกกายบริหารเพื่อรักษาการทรงตัว เช่น การฝึกโยคะ ไทเก๊ก เดินเร็ว เป็นการฝึกทักษะป้องกันการหกล้มอันจะนำไปสู่ภาวะกระดูกหัก และการที่แคลเซียมในกระแสเลือดจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระดูกได้นั้นต้องมีแรงกระทำที่กระดูกเสียก่อน การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว หรือออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น

#EmeraldOil #HealthyFunctionalOil #รวมสิ่งดีๆไว้ในขวดเดียว #น้ำมันผสมเอ็มเมอรัล

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2562

ลดอาการปวดหลัง ขาชาจากหมอนรองกระดูก กดทับ

ลดอาการปวดหลัง ขาชาจากหมอนรองกระดูก กดทับ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

 หายได้ใน 3 อาทิตย์
วิธีรักษาโรคกระดูกเสื่อม ด้วยภูมิปัญญาไทย
 โรคกระดูกเสื่อมเกิดจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูกในร่างกายของเรา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการทาน จากการเคลื่อนไหวมากเกินไป มักจะเกิดในวัยกลางคน วัยสูงอายุ สังเกตเห็นได้ชัดว่าเมื่อเคลื่อนไหวจะมีเสียงกร๊อบแกร๊บ กร๊อบ
แกร๊บ บางทีก็จะปวดตตรงข้อกระดูก รู้สึกขัดๆปวดๆ เคลื่อนไหวลำบาก นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบก็จะลุกขึ้นยาก
การรักษาโรคกระดูกเสื่อมนั้นส่วนใหญ่คนมักจะพึ่งยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมต่างๆ เช่น แคลเซียมแคปซูล แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ ขอแนะนำเป็นพิเศษ อาจทำให้เราหายขาด หรือบรรเทาอาการโรคกระดูกเสื่อมได้
คือทานแบบภูมิปัญญาไทย ด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง
น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้น
มา แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมอยู่ให้แน่นเหมือนเดิม
ส่วนผสม “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม
ชุดละวัน เช้า เย็น แบ่งเอา
– กระชาย 1 ขีด
– น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
– มะนาว 2 ลูก
วิธีทำ “น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง” รักษาโรคกระดูกเสื่อม
1. นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา หรือ ปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ละเอียดเติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว
2. นำกระชายที่ตำหรือปั่น มากรองผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่น้ำหัวเชื้อ
3. ใส่น้ำผึ้ง และ มะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ

แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหินอ่างศิลา จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก วันฟ้าใส ใจสองเรา

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

ไทรอยด์เป็นพิษ

ไทรอยด์เป็นพิษ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

ในทางแพทย์แผนโบราณตำราจีนและไทย กล่าวว่าไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากการกินที่ไม่สมดุล กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากกว่าฤทธิ์เย็น หรือหยินหยางไม่สมดุล จึงทำให้ภายในร่างกายร้อนเกิน จนกระทั่งการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปรกติ

วิธีธรรมชาติบำบัดที่จะช่วยรักษาไทรอยด์ที่ผสมทั้งแผนจีนแผนไทยคือ “การแกว่งแขน” หรือการออกกำลังกายโดยการแกว่งแขนเป็นประจำวันละ 20 นาทีเป็นอย่างต่ำ
และกินสมุนไพรที่จะช่วยรักษาได้คือ “น้ำใบย่านาง” ให้คั้นใบย่านางต้มกินแทนน้ำเปล่า ปัจจุบันมีหัวน้ำใบย่านางสกัดขายตามร้านขายของเพื่อสุขภาพทั่วไป นำไปผสมน้ำดื่มได้เลย รสชาติไม่แตกต่างจากน้ำเปล่าและยังมีกลิ่นหอมชื่นใจอีกด้วย

นอกจากนั้นให้ปรับนิสัยการกิน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็นแทน เช่นงดเนื้อสัตว์ แต่ยังกินปลาได้เช่นปลานึ่งทาเกลือเพื่อเสริมไอโอดีน กินผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม สัปปะรด แอปเปิลฯลฯ กินข้าวกับผักลวกปลานึ่ง โดยให้เน้นผักฤทธิ์เย็น
(เสิร์จกูเกิลหาชื่อของผัก-ผลไม้ฤทธิ์เย็นได้เลย)

ผู้มีประสบการณ์ป่วยเป็นไทรอยด์ เล่าว่า ทำตามคำแนะนำนี้ ค่าไทรอยด์ลดลง 50% ภายใน 2 สัปดาห์ และหายเป็นปรกติภายใน 3-4 เดือน แต่ต้องกินน้ำย่านางไปตลอดเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย

CR : khaoza.net

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Good Look Good Health

เล็บขบ...;วิธีแก้เล็บขบ...

เล็บขบ...;วิธีแก้เล็บขบ...

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

"เล็บ" มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้นิ้ว และส่วนนี้จะไม่มีเส้นประสาทอยู่ ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเกิดโรคขึ้นกับเล็บ แต่ถ้าเกิดโรคนั้นกินเข้าไปถึงผิวหนังแล้วล่ะก็ "เล็บ" ก็สร้างความปวดร้าวให้เจ้าของเล็บสุด ๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะ "เล็บขบ" (Unguis Incarnatus)

สาเหตุที่ทำให้เกิด "เล็บขบ" ได้ก็คือ

1. การใส่รองเท้าที่บีบมากเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อที่อยู่ด้านข้างของเล็บถูกบีบเข้ามา เล็บก็เลยไปกดเนื้อ ด้านข้าง เมื่อเล็บงอกมันก็จะงอกลึกลงไปในเนื้อ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด
นอกจากนี้
การใส่รองเท้าส้นสูงเกินไป ปลายเท้าแหลมเกินไป ก็ทำให้เท้าถูกบีบจนเล็บงอกตามปกติไม่ได้ ต้องกินเข้าไปในเนื้อ

2. การตัดเล็บไม่ถูกวิธี หลายคนตัดเล็บด้านข้างเป็นมุมแหลมชิดเนื้อ หรือลึกเกินไปนั่นเอง ทำให้เล็บงอกใหม่ไปทิ่มที่ซอกเล็บ จนเกิดแผลและมีอาการปวดตามมา หรือบางคนชอบแต่งเล็บให้โค้งเข้าในซอกเล็บมากเกินไป และชอบแคะ ขูด งัดซอกเล็บบ่อย ๆ

3. การติดเชื้อราที่เล็บ

4. อุบัติเหตุ เช่น ปลายนิ้วเท้าชอบไปชนอะไรบ่อย ๆ ทำให้เล็บฉีกขาดแทงเข้าไปในซอกเล็บได้ หรือการ
เล่นกีฬา เช่น เทนนิส แบดมินตัน ฟุตบอล บาสเกตบอล ซึ่งทำให้กระดูกนิ้วทำงานหนัก

5. การมีเล็บเท้าที่กว้างกว่าปกติ หรือเกิดจากการที่นิ้วเท้ามาซ้อนเกย หรือเบียดกัน

เล็บขบทำอย่างไรดี
แน่นอนว่า "เล็บขบ" จะทำให้คุณรู้สึกปวดเล็บเป็นอย่างมาก แม้จะกินยาแก้ปวดก็บรรเทาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น จึงต้องทำการรักษา ซึ่งก็มีทั้งการรักษาด้วยตัวเองแบบวิธีง่าย ๆ ในรายที่เป็นไม่มาก
แต่ในรายที่เป็นมากก็คงต้องไปพบแพทย์

วิธีในการรักษาเล็บขบด้วยตัวเองกันก่อน

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังมีอาการไม่มาก เพียง
แค่ปวดบวมแดงเล็กน้อย และยังไม่มีหนอง ทำได้โดย

1. แช่เท้าในน้ำอุ่น หรือน้ำเกลืออุ่น ๆ สัก 10 นาที เพื่อบรรเทาอาการปวด

2. ตัดเล็บส่วนเกินที่ไม่เจ็บออก เพื่อไม่ให้มีเศษผง หรืออะไรสกปรกค้างอยู่ เพราะเศษสกปรกนี้จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อรุนแรงขึ้น

3. ใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดเล็บให้สะอาด

4. หาวัสดุอะไรสักอย่างที่เล็ก ๆ บาง ๆ แข็ง ๆ พอสมควร เช่น เส้นด้าย ไม้จิ้มฟันก้านบาง ๆ หรือไหมขัดฟัน สอดเข้าไปใต้เล็บ งัดเอาเล็บขึ้นมา ตรงนี้อาจจะรู้สึกปวดบ้าง ให้ทำอย่างเบามือที่สุด

5. เอาสำลีสอดลงไปบริเวณที่เล็บมันจิกขบอยู่ จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ แล้วกินยาปฏิชีวนะ ประเภทเตตร้าซัยคลิน หรือแอมพิซิลลิน และก็กินยาแก้ปวดพวกพาราเซตามอล จะบรรเทาอาการเจ็บปวดและการอักเสบจากการติดเชื้อลงได้มาก

คนไข้ที่ใช้วิธีนี้รักษาเล็บขบยังสามารถอาบน้ำล้างเท้าได้ตามปกติ และควรจะถูสบู่ที่ซอกเท้า ซอกเล็บ วันละ 2 ครั้ง เพื่อกำจัดเชื้อโรคออกไปด้วย หลังอาบน้ำเสร็จควรใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดเล็บให้สะอาด แล้วใช้ผ้าพันไว้ เพื่อจะได้ไม่โดนอะไรสกปรกอีก
และที่สำคัญต้องเลิกใส่รองเท้าบีบ
และตัดเล็บให้ถูกต้องด้วย

สมุนไพรแก้เล็บขบ

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบรรเทาอาการเล็บขบด้วยการใช้สมุนไพรไทยด้วย
 มาดูกันว่า วิธีรักษาเล็บขบด้วยสมุนไพรไทย มีสูตรไหนบ้าง

สูตรที่ 1
ใช้ใบพลู หรือใบฝรั่งประมาณ 3-5 ใบ นำมาตำรวมกับเกลือประมาณ 1 หยิบมือและพอกไว้บริเวณที่เล็บขบ ใช้ผ้าพันเพื่อปิดแผลไว้ ควรพอกอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-7 วัน อาการช้ำและเล็บขบจะค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายดี และเพื่อความสะอาดควรเปลี่ยนผ้าพันทุกวัน วันละสองเวลาเช้าและเย็น

สูตรที่ 2
โขลกใบฝรั่งสด 2 ใบ เกลือ 1/2 ช้อนชา ข้าวสุก 2 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน นำมาพอกตรงหนองบริเวณที่เล็บขบจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้

สูตรที่ 3
ตำไพล 1 แง่ง (ยาวประมาณ 2 นิ้ว) เกลือตัวผู้ (เกลือที่เป็นเม็ดยาว ๆ) 7 เม็ด ข้าวสุก 1 กำมือให้ละเอียด พอกบริเวณที่เป็นแผล
ภายใน 20 นาที จะทำให้หนองแตกออกมาและหายปวดได้

สูตรที่ 4
ฝานมะนาวตรงส่วนหัวออกให้พอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อในออกเล็กน้อย ทาปูนแดงบาง ๆ บริเวณที่เล็บขบ แล้วสอดนิ้วที่เป็นเล็บขบเข้าไปด้านในของมะนาว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ทำวันละ 2-3 ครั้ง เช้า-เย็น อาการจะทุเลาขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ทางแพทย์สายพุทธ
Be Healthy น้าอ้วนบ้านเกษตรพอเพียง

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

คุณไม่ต้องกลัว "ผึ้ง แมลง สัตว์" กัดต่อยอีกแล้ว

คุณไม่ต้องกลัว "ผึ้ง แมลง สัตว์" กัดต่อยอีกแล้ว

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล


ต่่อไปนี้ไม่ต้องกลัว. ผึ้ง แมลง. สัตว์กัดต่อยกันอีกแล้วน๊ะ เพราะมีกรณีศึกษามาแล้วได้ผลจริง
ที่บ้านคุณดาว อภิญญา ดอยสะเก็ด ไม่เคยขาดมะนาวในตู้เย็น เลยค่ะ เพราะมะนาว เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เวลาคนงาน หรือตัวคุณดาว+คุณวิทย์ โดน แมลงที่มีพิษต่อย บ่อยมาก เพราะเราอยู่ บ้านป่า บ้านดอย ก็จะใช้มะนาวบีบ น้ำมะนาวสดๆใส่ตรงแผลที่ถูกแมลงต่อย ไม่ว่าจะเป็น (แตน ผึ้ง ต่อ หรือ งูหรือสัตว์ที่มีพิษต่อย ) ให้บีบน้ำมะนาวใส่ตรงที่ถูกต่อย พิษแมลงจะกลายเป็น ศูนย์ ในทันที จะหายปวดภายใน 10 นาที และไม่บวม ดาวเคยถูกผึ้งต่อยหลายครั้ง ก็บีบน้ำมะนาวใส่ทันที บีบให้หมดทั้งลูก หายปวดทันที เด็กคนงานที่บ้านถูก แตนหรือต่อ ต่อยบ่อยมาก ก็ได้น้ำมะนาวช่วย เดี๋ยวนี้ผึ้งมาทำรังที่บ้าน เด็กๆคนงานคุณดาว เดินผ่านก็ไม่กลัว แม้แต่ยุง หรือ มดแดงมดค้นไฟ ก็ใช้น้ำมะนาวนะคะ มีเพื่อนคนหนึ่ง เค้าจะแพ้ แมลงตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า ขุ้น เวลากัดจะเจ็บมาก และคัน เกาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ไปหมด เค้าหายามาทาหลายญี่ห้อ ก็ไม่หายคัน พอมาเล่าให้ คุณดาวฟัง ดาวบอกให้ เค้าใช้ "น้ำมะนาวสดๆซิ " เค้าก็ลองทำ ปรากฎว่า ไม่คันเลย พอแมลงมากัด เค้าใช้น้ำมะนาวทาเข้าไปตรงที่แมลงกัด หายคันภายใน 5 นาทีค่ะ พิษแมลง โดนน้ำมะนาว จาก กรดจะเป็นด่างไปในทันที ช่วยบอกต่อเพื่อนเป็นวิทยาทาน จากคุณดาว อภิญญา ที่บ้านอยู่กลางป่า ไร่ภูเพชร อ.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

ขอขอบคุณข้อมุลจาก ชมรมคนรักษ์สุขภาพ

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

บริโภคเนื้อปลาแซลมอนเลี้ยง สัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง เสี่ยงกระทบกับสุขภาพในระยะยาว

บริโภคเนื้อปลาแซลมอนเลี้ยง สัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง เสี่ยงกระทบกับสุขภาพในระยะยาว
ขอบพระคุณข้อมูลจาก wellnesswecare

แซลมอนซาชิมิ แซลมอนซูชิ เมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน แต่รู้หรือไม่ หากบริโภคเนื้อปลาแซลมอนเลี้ยง สัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง เสี่ยงกระทบกับสุขภาพในระยะยาว
.
ข้อมูลจาก FDA และหลายงานวิจัย ระบุว่า
ปลาแซลมอนที่เลี้ยงในมหาสมุทรแอตแลนติกอันตรายที่สุด เนื่องจากมีสารพิษตกค้างถึง 13 ชนิด รวมทั้งสาร polychlorinated biphenyl (PCB) สารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่มากกว่าปลาแซลมอนธรรมชาติถึง 5-10 เท่า
.
นอกจากนี้สารพิษตกค้าง ในกลุ่ม Persistent organic pollutants (POPs)
ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 พาร์กินสัน และอัลไซเมอร์
.
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าต่อไปนี้เราจะไม่ควรทานปลาแซลมอนเลี้ยงอีกเลย
ใครที่ชอบทานก็อาจจะลดปริมาณลงมา และหันมาทานอาหารพืชเป็นหลักในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพของตัวเองนะคะ

------------------------------

Good Health By Yourself โปรแกรมสุขภาพดีด้วยตนเอง
ให้คุณเรียนรู้สาระสำคัญเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค
และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการมีสุขภาพดีที่ยั่งยืน
เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป หรือผู้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
.
รายละเอียดโปรแกรม: "https://bit.ly/2Gp4b5d"
.
เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ ศูนย์ฝึกอบรมสุขภาพ
เพื่อการป้องกัน บำบัดฟื้นฟู และพลิกผันโรค
📲 อินบ็อกซ์: m.me/Wellnesswecare
📞โทร: 02-0385115
📱ไลน์: @wellnesswecare (มี @ นำหน้า) หรือคลิก "https://line.me/R/ti/p/%40wellnesswecare"

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562

ค่าความดันโลหิตและค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ควรรู้

ค่าความดันโลหิตและค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ควรรู้
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล


8 สาเหตุเสี่ยงกระดูกสะโพกหัก

8 สาเหตุเสี่ยงกระดูกสะโพกหัก
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
🔻 8 สาเหตุเสี่ยงกระดูกสะโพกหัก ต้องผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมง

1. กระดูกพรุน , กระดูกบาง และมวลกล้ามเนื้อลดลง
2.การเคลื่อนไหวผิดสมดุลหรือไม่สามารถรักษาสมดุลของการทรงตัวได้ อาจมาจากภาวะทางสมอง หรือการมองเห็นหรือหูผิดปกติได้ทำให้มีโอกาสล้มง่ายขึ้น
3. 70% เป็นเพศหญิงเนื่องจากมวลกระดูกลดลงอย่างรวดเร็วหลังหมดประจำเดือน
4. โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ,ความผิดปกติของลำไส้ในการดูดซึม แคลเซียมและวิตามินดี
5. การได้รับยาบางชนิดในระยะเวลานาน เช่นสเตียรอยด์ หรือยาที่มีผลข้างเคียงให้ง่วง มึนงง เสี่ยงต่อการล้ม
6. การขาดสารแคลเซียมและวิตามินดีสะสมในวัยหนุ่มสาว
7. การขาดการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก การเดินลงน้ำหนักหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง
8. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้สูญเสียความแข็งแรงของกระดูก

➕ เมื่อกระดูกสะโพกหัก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุด ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา อาทิ เป็นผู้ป่วยติดเตียง เกิดแผลกดทับ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และเกิดการติดเชื้อ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดรูปแบบใหม่ Minimal Invasive Surgery เป็นการผ่าตัดกระดูกสะโพกแบบเปิดแผลขนาดเล็ก กล้ามเนื้อถูกทำลายน้อย กระทบโครงสร้างกระดูกต่ำ ผู้ป่วยจึงบาดเจ็บน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเดินได้ภายใน 1 คืน หลังผ่าตัด

สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ "http://bit.ly/2NWigMO"

นพ. เปรมเสถียร ศิริธนาพิพัฒน์
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ - การผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม

#ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🏥 ศูนย์ฟื้นฟูข้อเสื่อม โรงพยาบาลเวชธานี
📞 โทร. 02-734-0000 ต่อ 2222
_____________________________

อย่าลืมกด like และ 🌟กดติดดาว🌟 (see first) เพจ โรงพยาบาลเวชธานี-Vejthani Hospital เพื่อไม่พลาดข่าวสารสุขภาพและโปรโมชั่นดีๆ...
______________________________

#โรงพยาบาลเวชธานี #JCI #มาตรฐานJCI #โรงพยาบาลระดับสากล #เวชธานีลาดพร้าว111
💻 Website :"http://www.vejthani.com/"
📞 Call Center : 02-734-0000

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562

กระเจี๊ยบแดง พุทรา เตยหอม สุดยอดสามสมุนไพรบำรุงหัวใจดีต่อสมอง

กระเจี๊ยบแดง พุทรา เตยหอม
สุดยอดสามสมุนไพรบำรุงหัวใจดีต่อสมอง

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

เป็นที่รู้กันว่าโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นจำนวนมาก ในแต่ละปีถ้าไม่นับโรคมะเร็งแล้ว ก็ต้องยกให้โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหลอดเลือดสมองตีบ แม้ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคทั้งสองจะมีประสิทธิภาพดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมากเช่นกัน ผู้ที่รักสุขภาพจึงหันมานิยมยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ปลอดภัยหาง่าย และมีประสิทธิภาพในการรักษาไม่แพ้กัน

สมุนไพรมีอยู่มากมายหลายตำรับ แต่ที่ตรงคำกล่าวที่ว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ" ยาสมุนไพรสูตรตำรับเดียว
ที่ใช้ป้องกันได้ทั้งสองโรคนั้นมีอยู่ไม่กี่ตำรับ ในที่นี้ขอแนะนำตำรับหนึ่งที่มีผู้ใช้ได้ผล และบอกต่อกันมา คือ
ตำรับกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน และเตยหอม

สมุนไพรชนิดแรก สีแดงและรส เปรี้ยวจี๊ดของกลีบเลี้ยงผลกระเจี๊ยบแดง นอกจากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในไต และในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งลดความเหนียวข้นของเลือดลง ทำให้การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายดีขึ้น ซึ่งก็ช่วยรักษาเส้น
เลือดขอดให้ทุเลาลงได้ด้วย

กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ hibiscus sabdariffa l. ชื่ออื่นว่า กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง ส้มปู ส้มพอ และชื่อที่ฝรั่งทั่วโลกรู้จักกันดีเรียกว่า jamaica sorrel, roselle, red sorrel, rozelle กระเจี๊ยบเป็นพืชล้มลุก ชอบอากาศร้อน ทนต่อความแห้งแล้ง ไม่ชอบน้ำขัง เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ตลาดมีความต้องการตลอด จึงแนะนำให้ปลูกไว้เป็นยาและพืชเศรษฐกิจได้

สมุนไพรชนิดที่สอง รสหวาน มัน ฝาด ของผลพุทราจีนสุก ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท
แก้โรคนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ยังอุดมด้วย วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งช่วยบำรุงสายตา และเพิ่มภูมิต้านทานโรค ที่สำคัญผลพุทราช่วยลดผลข้างเคียงจากกรดซิตริกของกระเจี๊ยบ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมฤทธิ์ป้องหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดสมองตีบ

พุทราจีน

พุทราจีน มีความหลากหลายของสายพันธุ์มาก อยู่ในวงศ์ rhamnaceae ชื่อวิทยาศาสตร์ที่สืบค้นดูบางที่เรียก ziziphus mauritiana บางทีก็เรียก ziziphus jujub แค่คนจีนเรียกว่า red date หรือ chinese date
คนไทยภาคอีสานเรียกต้นพุทราว่า บักทันหรือหมากกะทัน ภาคเหนือเรียก มะตัน มะตันหลวง นางต้มต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีหนาม ผลมีเมล็ดเดียว ผิวเรียบ ผลสุกจะเป็นสีเหลืองบางพันธุ์มีสีแดงเข้ม เป็นพืชกำเนิดในประเทศจีนตอนเหนือ ที่รู้จักกินใช้มานาน 4,000 ปีแล้ว แต่ในอินเดียก็ปลูกพุทราเช่นกัน สืบค้นไปได้สมัยพุทธกาลเช่นกัน

สมุนไพรชนิดที่สาม คือ รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยบำรุงหัวใจ ชูกำลัง ลดพิษไข้ ดับพิษร้อนภายใน เตย มีชื่อวิทยาศาสตร์ pandanus amaryllifolius roxb ชื่ออื่นๆ เตย หอมใหญ่ เตยหอมเล็ก ปาแนะวองิง (มลายู)

ต้นเตยหอม

ต้นเตยหอม เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กรู้จักกันดี ไม่จำเป็นต้องอธิบายมากนัก
 : มาดูสรรพคุณโดยรวมของสมุนไพรสูตรตำรับนี้ (สามประสาน) จึงสามารถตอบโจทย์ในการดูแลสุขภาพหัวใจและสมองให้แข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบ

อันเป็นโรคสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของประเทศไทย รวมทั้งมีผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ที่เกิดจากโรคเส้นเลือดสมองตีบ เนื่องจากความเครียดของสมองและจิตใจ ในวิถีชีวิตของสังคมบริโภคนิยมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

วิธีปรุงยา : นำสมุนไพรสามเกลอ คือ กระเจี๊ยบแดงแห้ง 30 กรัม เนื้อพุทราแห้งไม่มีเมล็ด 30 กรัม ใบเตยแห้ง 5 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเคี่ยวไฟอ่อนๆ ราว 10-15 นาที จะเติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยก็ได้ เพื่อให้ได้รสชาติดีขึ้น แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรเติมอะไรเพิ่ม ดื่มขณะอุ่น วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น หลังอาหาร น้ำยาที่เหลือเก็บแช่ตู้เย็นได้ แล้วนำมาอุ่นเพื่อดื่มในมื้อต่อไป
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดสมองตีบเรื้อรัง สามารถดื่มคอกเทลสมุนไพรสูตรนี้ได้ทุกวัน ช่วยเสริมการบำบัดรักษาที่แต่ละคนดูแลสุขภาพตนเองอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ดื่มเป็นประจำรับรองว่าสมองจะแจ่มใส หัวใจสดชื่นไปอีกนาน สำหรับผู้ที่ใช้สมองมาก เช่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือผู้บริหาร สามารถดื่มสมุนไพรสามเกลอนี้แทนซุปไก่สกัด หรือผลไม้สกัดราคาแพงๆ ได้เช่นกัน นอกจากจะได้ยาบำรุงสมองที่มีสรรพคุณดีกว่าแล้ว ยังได้ยาราคาถูกกว่าอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : หนังสือพิมพ์มติชน โดย โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย

และ "http://www.ecepost.com/viewtopic.php?id=701897051"

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

อาหาร ๑๐ กลุ่มนี้เลี้ยงเซลล์มะเร็ง

อาหาร ๑๐ กลุ่มนี้เลี้ยงเซลล์มะเร็ง
....ควรหลีกเลี่ยงจ้า

อาหารก่อมะเร็ง คืออาหารที่กินแล้วทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ที่กล่าวถึงบ่อยๆ ว่าเป็นตัวการสำคัญให้เกิดโรคมะเร็งก็คืออาหารประเภทไขมัน ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆ เป็นประจำทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงบ่อยๆ หรือเป็นประจำ
นอกจากเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนและเกิดโรคอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด
และในปัจจุบันยังมีรายงานการวิจัยระบุว่าการกินเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงในปริมาณมากๆ เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าการกินไขมันเสียอีก
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งด้วยสาเหตุข้างต้นจึงควรเดินทางสายกลางในการบริโภคอาหาร มาดูกัน


๑. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย
สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน


๒. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร


๓. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น
 ดังนั้นจึง
ควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง


๔. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึม
ได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี
ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)


๕. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง
 น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง
เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง


๖. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น


๗. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

๘. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป


๙. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิต
วิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

๑๐. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ทางแพทย์สายพุทธ

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

ปรุงชา ดอกดาวเรือง แก้ตาแห้ง แสบตา บำรุงตับ

ดอกดาวเรือง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
...เก่งเรื่องตา บำรุงตับ!!

ดอกดาวเรือง หรือภาษาเหนือเรียก ดอกคำปู้จู้ เป็นดอกไม้ที่วันลอยกระทงนี้จะมีคนนำไปประดับกระทงมากเป็นอันดับต้นๆ ใครจะรู้ละครับว่าดอกดาวเรืองนี้ คือเจ้าแห่งการรักษาตา บำรุงตับ!!

ตา กับ ตับ ในแผนโบราณเราเชื่อว่าเป็นจุดแสดงอาการของโรค
หากผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ ตับร้อน ตับอ่อนแอ ตับอักเสบ แสดงออกที่ดวงตาทั้งสิ้นครับ
ยิ่งฤดูที่ผ่านมานั้นเกิดอาการที่เรียกว่าโรคทาง อาโป ยิ่งทำให้หมอเจอคนไข้ที่มีอาการเกี่ยวกับตับมากเป็นพิเศษ!!
ใครที่มีอาการดังต่อไปนี้
คุณควรถนอมตับ ก่อนตับป่วย
1. มีอาการแสบตา ตาแห้ง

2. มีอาการร้อนออกตา

3. ตาฉ่ำๆ เหมือนมีน้ำตาคลอตลอด
4. มีเส้นเลือดฝอยเล็กๆในตามาก

5. ตาเริ่มมีสีออกเหลืองๆ

อาการเหล่านี้จะดำเนินทางโรคจาก 1 ถึง 5 หากไม่รีบรักษาหรือคอยบำรุงตับตั้งแต่แสบตา ตาแห้ง โรคตับจะยิ่งมากขึ้น!!


วิธีปรุงชา ดอกดาวเรือง แก้ตาแห้ง แสบตา บำรุงตับ

1. เลือกดอกดาวเรืองที่แกจัด 10 ดอก รวมฐานรองดอก
(ไม่เอาที่ร้อยพวงมาลัยตามตลาด)

2. ล้างให้สะอาด

3. ใส่ลงหม้อ เติมน้ำ 2 ลิตร

4. ต้มจนเดือด ลดไฟลงกลางๆ เคี่ยวต่อจนน้ำลดลงเหลือครึ่งนึง

5. ดื่มครั้งละ 30-50 ซีซี ก่อนอาหาร 30 นาที เช้าเย็น
(ที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น หากจะทาน เทใส่แก้ว 30-50 ซีซี แล้วเติมน้ำร้อน ดื่มอุ่นๆ)
รับประทานติดต่อกัน 1-2 อาทิตย์
หากอาการตาแห้ง แสบตาไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์จ้า
(สามารถปรุงให้มีรสหวานเล็กน้อยได้ด้วยน้ำตาลกรวด)

ดอกดาวเรืองดีกับดวงตา โดยเฉพาะคนที่เล่นคอม เล่นมือถือมากๆ ดื่มก่อนนอนอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งช่วยได้ครับ


Cr.พระอธิการ นพดล กันตสีโล

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562

ภูมิแพ้-นอนกรน อันตรายกว่าที่คิด

ภูมิแพ้-นอนกรน อันตรายกว่าที่คิด
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

โดย #ภูมิแพ้ก็แพ้เรา #หมอแอน

สถานการณ์ ‘คนกรน’
‘นอนกรน’ เรื่องเล็กๆ ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่
เพราะนอกจากจะรบกวนคนข้างๆ จนนอนไม่หลับแล้ว
การนอนกรนยังบ่งบอกถึงสุขภาพทางเดินหายใจของเราด้วย
.
จากสถิติพบว่าคนไทยประมาณ 25% นอนกรน
จากสาเหตุทางเดินหายใจช่วงบนมีการอุดกั้นเป็นระยะตลอดการนอนหลับ
และผู้ที่มีอาการกรนมากจนมีการหายใจติดขัดจนเกิดการสะดุด
หยุดหายใจเป็นช่วงๆ ร่างกายขาดอากาศเป็นระยะๆ ส่งผลเสียต่อหัวใจ สมอง หลอดเลือด และอวัยวะต่างๆ
โรคนี้เรียกว่า ‘โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น’
ซึ่งพบในคนไทยประมาณ 5% หรือประมาณ 3 ล้านคน !
.
สาเหตุของ ‘โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น’ ที่พบได้บ่อย
1. เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้ อันจะทำให้มีอาการอักเสบของเยื่อบุ
และเนื้อเยื่ออ่อนของโพรงจมูก ที่มักส่งผลทำให้โพรงจมูกแคบลง
หรือทำให้เราคัดจมูกจนหายใจลำบากนั่นเอง หรืออาจมีความผิดปกติของโครงสร้างจมูกที่ตีบแคบ
2. มีต่อมทอนซิล หรือ อดีนอยด์โต ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลืองหลังโพรงจมูก
มักโตในคนที่เป็นหวัด หรือติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย
3. สูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่
4. น้ำหนักเกิน ค่า BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 25 
นอกจากนี้ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะพบภาวะนี้มากขึ้นด้วยค่ะ
.
ภูมิแพ้กับโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
โรคภูมิแพ้เดินหายใจเช่น โรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ
โรคหืด เป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อย ประมาณการว่าคนไทยเป็นโรคแพ้อากาศร้อยละ 40-50
และเป็นโรคอันดับหนึ่งที่คนไข้มาใช้บริการที่ศูนย์ภูมิแพ้
.
โรคนี้มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต รบกวนต่อการนอนมีผลทำให้นอนกรน
ทางเดินหายใจอุดกั้น หยุดหายใจ
.
โรคทางเดินหายใจอุดกั้นในเด็ก ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะต่อมทอลซิล/อดีนอยด์โต
ซึ่งมักจะมีโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจร่วมด้วย
จากผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กที่เป็นโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้
พบปัญหาการนอนหลับได้บ่อยกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่เป็นจมูกอักเสบภูมิแพ้
.
ส่วนภาวะนอนกรนในผู้ใหญ่มักพบในผู้สูงอายุ โรคอ้วน
คนที่มีความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกรหรือบริเวณใบหน้า
และผู้ป่วยที่เป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจด้วย
.
ผลกระทบที่น่าตกใจ
โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต
เช่น ทำให้เกิดอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน เพราะร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ นอนหลับกระสับกระส่าย เหงื่อออกตอนกลางคืน อ้าปากหายใจ คอแห้ง ปวดศีรษะในตอนเช้า หลับในห้องเรียนตื่นยากและไม่สดชื่นในตอนเช้าและมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุบนถนนและในโรงงานอุตสาหกรรมได้มากถึง 2-3 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติ 
.
นอกจากนั้น ยังมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
เช่น ความดันโลหิตสูง, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, หัวใจเต้นผิดจังหวะ,
ความดันโลหิตของปอดสูง และโรคหลอดเลือดสมอง
.
ภูมิแพ้ดี ไม่มีกรน
การดูแลรักษาโรคนี้จึงต้องอาศัยทีมสหวิชาชีพและใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา
เช่น แพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ แพทย์เฉพาะทางภูมิแพ้ แพทย์หูคอจมูก พยาบาลเฉพาะทาง นักวิทยาศาสตร์ นักโภชนาการ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีเทียบเท่ามาตรฐานสากล ปัจจุบันนี้มีการให้บริการสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านนี้ที่ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืดและระบบหายใจ และหน่วยตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ให้บริการตรวจความผิดปกติขณะนอนหลับ
.
ถ้าหากพบว่าอาการนอนกรนมีต้นตอมาจากการเป็นภูมิแพ้
เราในฐานะผู้ป่วยควรดูแลตัวเอง 4 ด้าน เพื่อลดอาการนี้ ได้แก่
- ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
- ดูแลสภาพแวดล้อม ให้สะอาด ปราศจากสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง
- ดูแลสภาพจิตใจ ผ่อนคลายความเครียด
.
และติดตามเนื้อหาใหม่ๆ จากหมอแอน เพื่ออัพเดทเคล็ดลับการจัดการและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภูมิแพ้อย่างมีความสุข ได้ที่เพจ  #ภูมิแพ้ก็แพ้เรา
.
ที่มา:
J Med Assoc Thailand 2015; 98(2):s138-144.
Poachanukoon, Orapan, and Maleewan Kitcharoensakkul. “Snoring and Sleep Problems in Children with and without Allergic Rhinitis: a Case Control Study.” Journal of the Medical Association of Thailand = Chotmaihet Thangphaet, U.S. National Library of Medicine, Mar. 2015, "www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26211115"

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2562

เคล็ดลับในการดูแลโรคเบาหวาน

เคล็ดลับการรักษาเบาหวานด้วย "มะกรูด1ผลและมะนาว2ผล"

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

เคล็ดลับในการดูแลโรคเบาหวานมาฝาก เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคยอดฮิต 1 ใน 10 ที่คนไทยเป็นมากที่สุด
 โรคเบาหวาน เกิดจากการทำงานของ “ฮอร์โมนอินซูลิน” (Insulin)ของร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆเพื่อไปใช้เป็นพลังงาน

ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการคั่งของน้ำตาลในเส้นเลือดแดงส่งผลให้อวัยวะต่างๆเสื่อม ซี่งอาการนี้จะส่งผลให้ เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้

ลักษณะอาการที่พบบ่อยๆได้แก่

• สายตาพร่ามัว

• เป็นแผลเรื้อรัง

• ปวดและชาตามมือและเท้า

• มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง

• ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย และมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น


ซึ่งการพึ่งยาก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป วันนี้มีตัวช่วยดีๆจากธรรมชาติมาฝาก
เคล็ดลับเบาหวานด้วยมะกรูดและมะนาว

วิธีการทำน้ำมะกรูดและมะนาว
1. นำมะกรูด 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ
2. นำมะนาว 2 ผล คั้นเอาแต่น้ำ
3. นำน้ำมะกรูด และ น้ำมะนาว ที่คั้นได้มาผสมกัน ดื่มทุกวัน หลังทานอาหาร

เย็นทันที

**ย้ำว่าทันที อย่าทำแล้วทิ้งไว้ เพราะมันจะไม่ได้ผล เมื่อเราทานน้ำมะกรูดและมะนาวเป็นประจำซัก 15 วัน ลองไปตรวจระดับน้ำตาลในเลือดดู จะเห็นได้ว่าน้ำตาลในเลือดของ

เราจะลดลงมากเลยทีเดียว


Cr. "http://www.hplus.co.th/2015/05/เบาหวานมะกรูดมะนาว/"


วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2562

น้ำเสาวรส เครื่องดื่มมหัศจรรย์

น้ำเสาวรส เครื่องดื่มมหัศจรรย์

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

 แก้วนี้เพื่อผู้สูงวัย !

ถึงจะเปรี้ยวไปหน่อย แต่น้ำเสาวรสก็ให้คุณประโยชน์คับแก้ว โดยเฉพาะกับผู้สูงวัยที่ดื่มประจำแล้วได้รับความมหัศจรรย์จากผลไม้ชนิดนี้แน่นอนด้วยรสเปรี้ยวของผลไม้ที่ชื่อว่า "เสาวรส" อาจทำให้มีบางคนไม่ชอบทาน แต่จะบอกเลยว่าผลไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณทางยาสูงมาก โดยเฉพาะประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ทำการวิจัยมาแล้ว และยืนยันดัง ๆ ว่า ผู้สูงอายุควรดื่มน้ำเสาวรสเป็นที่สุด

ดร.ศุภวัชร สิงห์ทอง คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมคณะ ได้ทำการวิจัยเรื่อง "ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบในผู้สูงอายุ"

เพื่อศึกษาสารออกฤทธิ์ของเสาวรสชนิดเปลือกสีม่วงและสีเหลือง พบว่า การดื่มน้ำเสาวรสมีส่วนทำให้ปริมาณวิตามินเอและวิตามินอีในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น และยังทำให้ปริมาณไซโตไคน์ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการอักเสบลดลง

นอกจากนี้ การดื่มน้ำเสาวรสยังช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดี
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ควรดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้สูงวัยก็ไม่ควรพลาดที่จะดื่มน้ำเสาวรสเช่นกัน เพราะนอกจากเสาวรสทั้งเปลือกเหลืองและเปลือกม่วงจะมีวิตามินเอสูงมากที่ช่วยบำรุงสายตาแล้ว ยังมี

วิตามินซีที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย และลดไขมันในเส้นเลือดได้ จัดเป็นผลไม้ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยเลยจริง ๆ

แต่ก็ขอย้ำเตือนอีกข้อว่า ถ้าจะดื่มน้ำเสาวรสควรดื่มที่คั้นสดๆ ไม่เติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมเพิ่มความ
หวานลงไป หรือถ้าไม่ชอบรสเปรี้ยวจริง ๆ ก็ให้เติมน้ำตาลลงไปได้เล็กน้อย เพื่อจะได้รับประโยชน์จากเสาวรสอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีโรคจากน้ำตาลที่เติมมาในแก้วเป็นของแถม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก "http://health.kapook.com/view115866.html"


วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!! ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคก...