วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ทำไมต้องออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 30 นาที

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ทำไมต้องออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 30 นาที

โอ้ยเหนื่อย อุตส่าไปออกกำลังกาย แต่ทำม้ายทำไมน้ำหนักไม่ลด เเต่คุณทราบหรือไม่ว่าปัญหาเหล่านี้อาจจะเกิดจากการกินที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานสำรองออกไป

อธิบายได้ดังนี้ 15 นาทีแรกของการออกกำลังกาย ร่างกายจะดึงพลังงานหลัก(น้ำตาลจากตับ)ไปใช้ ซึ่งเป็นพลังงานที่เตรียมไว้ใช้ในกิจกรรมปกติของร่างกาย เมื่อถึงนาทีที่ 15 – 30 นาที เมื่อร่างกายรู้แล้วว่า กิจกรรมนี้ใช้พลังงานมากกว่าที่เตรียมไว้ก็จะเริ่ม
ไปดึงแป้งมาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อให้ได้พลังงาน 30 นาทีขึ้นไป ก็ยังไม่พออีก คราวนี้แหละจะเริ่มไปดึงพลังงานสำรอง ซึ่งเก็บไว้ในรูปของไขมันมาใช้

จึงอธิบายว่า
ทำไมต้องออกกำลังกายไม่ต่ำกว่าครั้งละ 45 นาที เพราะถ้าต่ำกว่านี้ พลังงานสำรอง ยังไม่ได้ใช้อะไรเลยภายหลังหยุดออกกำลังกาย ร่างกายจะผลิตกรดชนิดนึงออกมา ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (คนที่ออกกำลังกายบ่อย จะมีความต้านทานต่อกรดชนิดนี้ได้มาก จึงปวดเมื่อยน้อยกว่า) แต่กระบวนการผลิตที่ว่านี้ จะต้องใช้พลังงานค่อนข้าง
มาก ร่างกายจึงยังคงต้องการพลังงานต่อเนื่องต่อไปอีกอย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นร่างกายก็ยังคงดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานต่อไป อธิบายว่า ทำไมหลังจากหยุดออกกำลังกาย เราถึงปวดเมื่อย อุณหภูมิร่างกายสูง เหงื่อออกต่อเนื่องต่อไปอีกประมาณ 15 นาที

แต่ทะว่า….

ใน 15 นาทีหลังหยุด หากมีการกินอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลลงไปแม้แต่นิดเดียว (ลูกอม 1 เม็ดก็มีผลทันที) ร่างกายจะตรวจพบว่า มีน้ำตาลในแหล่งพลังงานหลักแล้ว ร่างกายก็จะหยุดดึงเอาไขมันมา
ใช้และหันไปใช้น้ำตาลจากพลังงานหลักทันที
ดังนั้น หลังออกกำลังกาย 15 นาที หากดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ชาเขียว กินข้าว ขนมปัง หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีแป้งและน้ำตาล คุณกำลังสูญโอกาสที่จะลดไขมันในตัวไปอย่างน่าเสียดาย ไม่คุ้มค่าเหนื่อย

คำแนะนำในการดื่มกินต่อกิจกรรมออกกำลังกาย

 ก่อนออกกำลัง 1 ชั่วโมง

ไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายสะสมพลังงานหลักไว้มากเกิน ทำให้ช่วงเวลาที่จะดึงไขมันมาใช้ยืดออกไปอีก

 ก่อนออกกำลัง 15 นาที
ให้เริ่มดื่มน้ำเปล่า ทีละอึกไปเรื่อยๆ เพราะขณะออกกำลังร่างกายจะเสียน้ำไปเร็วมาก จึงควรดื่มเพื่อสะสมน้ำเอาไว้ล่วงหน้าก่อน

ขณะออกกำลัง

หมั่นดื่มน้ำทีละน้อยๆ บ่อยๆ เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป จากข้อมูลนักฟุตบอลต้องการน้ำขณะเล่นฟุตบอลถึง 2 ลิตรต่อคนทีเดียว ดังนั้นดื่มทีละน้อยๆ ให้มากที่สุดเป็นการดี

หลังออกกำลังกาย

นั่งพักเฉยๆ ดื่มน้ำเปล่าไปเรื่อยๆ จนกว่าเหงื่อจะแห้ง ค่อยอาบน้ำ
(การอาบน้ำทันที ร่างกายจะถูกลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การเผาผลาญ
พลังงานหยุดได้เหมือนกัน) และห้ามดื่มน้ำตาลหรือแป้งเด็ดขาด

บางคนบอกว่า ก่อนออกกำลังรู้สึกหิว ควรจะกินหรือไม่

ตอบ ไม่ต้องกิน เพราะถึงจะรู้สึกหิว แต่เมื่อร่างกายเริ่มกิจกรรมไปประมาณ 10 นาที จะถูกสั่งให้หยุดหิวทันที และจะสั่งให้หิวอีกครั้ง เมื่อร่างกายเริ่มหยุดกิจกรรม แต่ 15 นาทีแรกที่หยุด อย่าเพิ่งกินเด็ดขาด ให้ดื่มน้ำประทังไปก่อน… เป็นเคล็ดลับในการกินและดื่ม เพื่อให้ร่างกายเกิดผลต่อการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่


Cr. เพจJellywalker


วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

4 โรคร้าย รักษาได้ด้วยมะเขือพวง

4 โรคร้าย รักษาได้ด้วยมะเขือพวง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

อัศจรรย์!! 4 โรคร้าย รักษาได้ด้วยมะเขือพวง

หลายคนพิสูจน์แล้วว่าดีจริงๆ

มะเขือพวง อยู่คู่กับคนไทยเรามานาน และถูกใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงเนื้อ แกงเขียวหวาน แกงป่าหรือจะเอาไปทำน้ำพริกก็ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกุ้งสด แค่พูดขึ้นมาก็รู้สึกน้ำลายสอกันแล้วล่ะสิ แต่นอกจากความอร่อยแล้ว
ในมะเขืองพวงยังมีสรรพคุณสามารถต้านโรคต่างๆมากมายหลายชนิดที่คุณเองอาจนึกไม่ถึง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณมีชีวิตยืนยาวมากขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่ายๆ ถ้าอยากรู้ว่ามันมีประโยชน์แค่ไหน ต้องไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลย

1. โรคเบาหวาน
มีผู้ป่วยโรคนี้หลายคนที่ต้องถูกตัดขา เพราะน้ำตาลในเส้นเลือดสูงมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีผลเสียด้านดื่นๆมมาอีกเพียบ ถ้ายังไม่อยากต้องเสียใจภายหลังต้องเริ่มกินมะเขือพวงตั้งแต่วันนี้ มีการศึกษาวิจัยพบว่า เครื่องดื่มน้ำมะเขือพวงสามารถลดระดับอนุมูลอิสระในเลือดของหนูที่เป็นโรคเบาหวานได้ ทำให้ไขมันไม่ดี และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ดังนั้น การให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานมะเขือพวงระหว่างการรักษาควบคู่ไปกับทานยาแผนปัจจุบันจะยิ่งช่วยได้มากกว่าเดิม

2. โรคความดันโลหิตสูงและปัญหาเกล็ดเลือด
งานวิจัยในแคเมอรูนพบว่า เมื่อนำมะเขือพวงสกัดผสมแอลกอฮอล์มาทดลองกับหนู ปรากฎว่าอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลง พร้อมทั้งยังสามารถหยุดการรวมตัวของเกล็ดเลือดได้ด้วย ดังนั้น การรับประทานมะเชือพวงจึงช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและมีปัญหาเกล็ดเลือด มีอาการที่ดีขึ้นได้มากขึ้น

3. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
นอกจากผลไม้พวกเบอร์รี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงแล้ว มะเขือพวงที่เป็นผักพื้นบ้านก็มีสารตัวนี้อยู่สูง
เช่นกัน ไม่ต้องไปหาซื้อผลไม้ราคาแพงเลย เพราะแค่กินผักพื้นบ้านก็มีประโยชน์ที่ดีไม่ต่างกันโดยในปีพ.ศ. 2551 มีงานวิจัยนำมะเขือ 11 ชนิดในประเทศไทยมาสกัดหาสารต้านอนุมูลอิสระ ผลปรากฎว่า มะเขือพวงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดในบรรดามะเขือทุกชนิด อย่ารอช้าตักมะเขือพวงใส่ปากกันเถอะค่ะ

4. แผลในกระเพาะอาหาร
ใครที่กำลังป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการทานอาหารที่ไม่เหมาะสมหรือจากความเครียด เมื่อคุณได้ทานมะเขือพวงไปแล้ว คุณจะไม่ผิดหวังแน่ๆ เพราะ
ในปี 2551 กลุ่มนักวิจัยในประเทศแคเมอรูน ค้นพบว่า มะเขือพวงสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ เพราะในมะเขือพวงมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และไทรเทอร์พีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากแอลกอฮอล์หรือความเครียดได้นั่นเอง

ไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรเม็ดกลมๆที่มีรสชาติไม่อร่อยถูกปากใครๆสักเท่าไหร่จะมีคุณประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมมากขนาดนี้ เวลาที่คุณทานน้ำพริกกะปิหรือแกงไทยๆครั้งต่อไป ก็อย่าเขี่ยมะเขือพวงออกเลยนะคะ เพราะสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์เน้นๆ ทานมันเข้าไปบ้างเพื่อร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป
สมุนไพรของไทยเรานี่ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น แถมยังราคาถูกมากกว่าผักผลไม้เมืองนอกตั้งเยอะ สรรพคุณก็เหลือล้นรับประทานเลยทีเดียว ใครที่ไม่เคยกินหรือไม่ชอบกิน ก็หันมาลองกินดูสักนิด ค่อยๆฝึกทานไป รับรองว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษแน่ๆ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก health.sanook.com และ thaijobsgov.com


Cr. "http://www.bedtaledidea.com/2016/08/4_13.html"

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ประโยชน์จากการทานมะเขือเปราะ

ประโยชน์จากการทานมะเขือเปราะ

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

กินมะเขือเปราะทุกวัน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยขัลบพยาธิได้
 มะเขือเปราะ ผักที่มักเห็นเป็นประจำคู่เคียงน้ำพริก อาหารอิสานจำพวกลาบ ส้มตำ หรือทำเมนูเด็ดๆ อย่างผัดเผ็ดต่างๆ เมนูแกงป่า แกงเขียวหวาน ก็เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่ลงตัว อร่อยเข้ากัน หลายๆ คนไม่ชอบทานด้วยรสชาติของมะเขือเปราะรสจะออกจืดๆ ขื่นๆ กลิ่นหืนนิดๆ ยิ่งในคนที่ไม่ชอบทานผัก

มะเขือเปราะ เป็นผักชนิดเกือบสุดท้ายที่จะทานได้ แต่คุณจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ หากได้รู้จักประโยชน์จากการทานมะเขือเปราะ มะเขือเปราะที่คนไทยมักนิยมทานเป็นอาหาร แต่ในอินเดียใช้เป็นยา
มะเขือเปราะนั้นมีประโยชน์และคุณค่า สรรพคุณเป็นยา

คุณค่าทางสารอาหารของมะเขือเปราะ

มะเขือเปราะ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 39 กิโลแคลอรี่ มี โปรตีน 1.6 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, แป้ง 7.1 กรัม, แคลเซียม 7 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรัม, เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม, ไทอะมีน 0.11 มิลลิกรัม, ไนอะซีน 0.6 มิลลิกรัม, ไรโบฟลาวิน 0.06 มิลิกรัม, น้ำ 90.2 กรัม, วิตามินเอ และ วิตามินซี

ประโยชน์ของมะเขือเปราะ

– มีสรรพคุณใช้สำหรับขับพยาธิได้ และช่วยในการย่อยอาหาร

– รักษาโรคเบาหวาน มีผลงานวิจัยจากประเทศอินเดีย พบว่าสารสกัดจากผลมะเขือเปราะสามารถใช้ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองได้ดีพอๆ กับการใช้ยา สารสกัดออกฤทธิ์คล้ายๆ กับอินซูลิน ช่วยให้การเผาผลาญกลูโคสมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังพบว่าไม่มีพิษต่อหนูทดลองนั้นอีกด้วย

– ยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง ผลมะเขือเปราะมีสารไกลโคอัลคาลอยด์มาร์จีน และอัลคาลอยด์โซลาซาดีนซึ่งปราศจากโมเลกุลน้ำตาลป้องกันเซลล์มะเร็งตับ และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เจริญเติบโต

– มีสรรพคุณในการใช้รักษา อาการไอ โรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ และขับลม ทั้งยังมีการสนับสนุนด้วยหลักฐานทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียว่า มะเขือเปราะช่วยรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ

– มีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ และลดความดันเลือด ตามรายงานผลวิจัยนานาชาติระหว่างปี พ.ศ.2510-2538

– สารโซลาโซดีนในมะเขือเปราะ ใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สเตียรอยด์คอร์ติโซนและฮอร์โมนเพศได้

– ตำรับยาพื้นบ้านใช้ผลตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งใช้ปรุงยาแก้ไอ

บ้านเราโชคดีจริงๆ เลยนะคะ มีผักดีๆ ให้เลือกทานได้มากมายหลายชนิด ผักพื้นบ้านราคาประหยัด หาทานได้ง่ายๆ จะปลูกทานเองก็ย่อมทำได้ อย่างเช่นมะเขือเปราะ ทำอาหารทานได้หลายเมนู ไม่ซ้ำซากไม่จำเจ ทานได้บ่อยๆ ใครที่เคยเขี่ยมะเขือเปราะออกจากจานอาหาร คราวหน้า ..ไม่แล้วนะคะ

ที่มา...khaoza.net


Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/09/blog-post_603.html"

วิธีทั่วไปในการกำจัดติ่งเนื้อ

วิธีทั่วไปในการกำจัดติ่งเนื้อ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล



เปลือกกล้วย หอมตัดเป็นชิ้นเล็กแปะไว้ด้วยพลาสเตอร์ จนกว่าจะหลุดออก

บดกระเทียมสด และแปะที่ติ่งเนื้อและใช้พลาสเตอร์ปิดทับ ทำก่อนนอนแล้ว

ล้างออกด้วยน้ำอุ่นตอนเช้าทำติดกันทุกคืน ประมาณ 3 คืนติ่วเนื้อจะหลุดออก

คำเตือนว่าวิธีนี้ไม่ควรทำเกิน 3 คืนติดกัน เพราะจะทำให้ผิวไหมได้นั่นเอง
ขิงลอกเปลือก แล้วถูตรงติ่งเนื้อทุกๆวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ จะหลุดออกโดยไม่รู้
ตัว น้ำสับปะรด ชุบสำลีปิดติ่งเนื้อวันละ 2 รอบ วิธีนี้จะระคายเคืองอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง


Cr. เพจคนดี


วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สูตรไข่ต้มมหัศจรรย์!



สูตรไข่ต้มมหัศจรรย์!
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

กินช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีมากๆ

ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้นั่นก็คือ ไข่ต้ม


โดยสูตรต้มไข่นี้จะไม่เหมือนสูตรที่เคยทำกันมา เพียงแค่คุณทำตามวิธีที่เรานำเสนอข้างล่างนี้ ไข่ต้มของคุณก็จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คุณได้

ทุกวันนี้มีคนมากมายทั่วโลกที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งเกิดจากตับอ่อนหยุดผลิตอินซูลิน รวมไปถึงการฉีดอินซูลินที่ไม่ถูกต้องซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
อาการที่พบบ่อยของผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ น้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลีย ตาพร่า ปัสสาวะบ่อยครั้ง กระหายน้ำตลอดเวลา และคันในร่มผ้า


หากไม่ทำการรักษาเบาหวานจะทำให้ไตเสื่อม มีปัญหาที่หัวใจ ตาบอด ประสาทถูกทำลาย และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

แต่หากเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาและไม่ทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรตระหนักไว้เสมอว่าต้องไม่บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง
ส่วนการเตรียมทำไข่ต้มนั้นเรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก เราต้องการเพียงไข่ต้มเพียงฟองเดียว


วิธีทำ

ต้มไข่ 1 ฟองและปอกเปลือกออก ใช้ส้อมทิ่มไข่หลายๆ ครั้ง และใส่ไว้ในชามขนาดไม่ใหญ่มาก จากนั้นเทน้ำส้มสายชูลงไปและปล่อยทิ้งไว้ 1 คืน

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น คุณควรกินไข่ต้มกับน้ำอุ่น 1 แก้วที่ผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
 (คำเตือน : อย่าใส่น้ำส้มสายชูเยอะเกินไป)
ทำวิธีนี้ซ้ำหลายวันแล้วลองตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดดู และคุณจะพบว่าไข่ต้มเพียงฟองเดียวนี่แหละที่ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง


อ้างอิง...news.thaiza.com

Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/09/blog-post_112.html"

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เมื่อเป็นนิ้วล็อค ต้องทำอย่างไร?

เมื่อเป็นนิ้วล็อค ต้องทำอย่างไร?
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

เมื่อเป็นนิ้วล็อค ต้องทำอย่างไร?


อาการของโรคนิ้วล็อค แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ


* ระยะแรก


1. มีอาการปวดเป็นอาการหลัก


2. โดยมากจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ


3. มีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มี

อาการติดสะดุด


* ระยะที่สอง


1. มีอาการสะดุด (triggering) เป็นอาการหลัก


2. อาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้น เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการ

สะดุดจนรู้สึกได้

* ระยะที่สาม


1. มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่

สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ


2. อาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง


* ระยะที่สี่


 มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย ไม่สามารถเหยียด

ให้ตรงได้ ถ้าใช้มือมาช่วยเหยียดจะปวดมาก


วิธีป้องกัน “โรคนิ้วล็อค”


* ไม่หิ้วของหนัก

1. ยกตัวอย่างเช่น ถุงพลาสติก ตะกร้า ถังน้ำ


                     2. ถ้าจำเป็นต้องหิ้ว ควรใช้ผ้าขนหนูรองและหิ้วให้น้ำหนัก

ตกที่ฝ่ามือ แทนที่จะให้น้ำหนักตกที่ข้อนิ้วมือ
                     3. ใช้วิธีการอุ้มประคองช่วยลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือได้


* ไม่ควรบิดหรือซักผ้าด้วยมือเปล่าจำนวนมากๆ


  ไม่ควรบิดผ้าให้แห้งสนิท เพราะจะยึดปลอกหุ้มเอ็นจนคราก และเป็นจุดเริ่ม

ต้นของโรคนิ้วล็อค


* นักกอล์ฟที่ต้องตีแรง ตีไกล ควรใส่ถุงมือ


1. ใช้ผ้าสักหลาดหุ้มด้ามจับให้หนาและนุ่มขึ้น เพื่อลดแรงปะทะ


2. ไม่ควรไดร์กอล์ฟต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ


* เวลาทำงานที่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่าง


1. ควรระวังการกำหรือบดเครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ

2. ควรใส่ถุงมือหรือห่อหุ้มด้ามจับให้ใหญ่และนุ่มขึ้น


* ชาวสวนควรระวังเรื่องการตัดกิ่งไม้ด้วยกรรไกร หรืออื่นๆ


1. ที่ใช้แรงมือควรใส่ถุงมือเพื่อลดการบาดเจ็บของปลอกเอ็นกับเส้นเอ็น


2. ควรใช้สายยางรดน้ำต้นไม้แทนการหิ้วถังน้ำ


* คนที่ยกของหนักๆ เป็นประจำ


  ยกตัวอย่างเช่น คนส่งน้ำขวด ถังแก๊ส แม่ครัวพ่อครัว ควรหลีกเลี่ยงการยก

มือเปล่า ควรมีผ้านุ่มๆ มารองจับขณะยก และใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น

รถลาก


* หากจำเป็นต้องทำงานที่ต้องใช้มือกำ หยิบ บีบ เครื่องมือเป็นเวลานานๆ


ควรใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น ใช้ผ้าห่อที่จับให้หนานุ่ม เช่น ใช้ผ้าห่อด้ามจับ

ตะหลิวในอาชีพแม่ครัวพ่อครัว


* งานบางอย่างต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้าหรือระบม


  ควรพักมือเป็นระยะๆ เช่นทำ 45 นาที ควรจะพักมือสัก 10 นาที


วิธีการรักษาอาการนิ้วล็อค


* การใช้ยารับประทาน เพื่อลดการอักเสบ ลดบวม และลดอาการปวด ร่วมกับ

พักการใช้มือ


* การใช้วิธีทางกายภาพบำบัด ได้แก่

1. การใช้เครื่องดามนิ้วมือ
2. การนวด

เบาๆ

3. การใช้ความร้อนประคบ

4. การออกกำลังกายเหยียดนิ้ว

5. การรักษา

ด้วยยาและกายภาพบำบัด อาจใช้ร่วมกันได้ และมักใช้ได้ผลดีเมื่อมีอาการ

ของโรคในระยะแรก และ
ระยะที่สอง

*
การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่


1. เพื่อลดการอักเสบ ลดปวดและลดบวม เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่อน

ข้างมาก


2. ส่วนมากมักจะหายเจ็บ บางรายอาการติดสะดุดจะดีขึ้น


3. การฉีดยามักถือว่าเป็นการรักษาแบบชั่วคราว และข้อจำกัดก็คือ ไม่ควร

ฉีดยาเกิด 2 หรือ 3 ครั้ง ต่อ 1 นิ้วที่เป็นโรค
การรักษาโดยการฉีดยานี้

สามารถใช้ได้กับอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะท้าย

*
 การรักษาโดยการผ่าตัด


1. เป็นการรักษาที่ดีที่สุดในแง่ที่จะไม่ทำให้กลับมาเป็นโรคอีก


2. หลักในการผ่าตัด คือ ตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาอยู่ให้เปิดกว้างออก เพื่อ

ให้เส้นเอ็นเคลื่อนผ่านได้โดยสะดวก ไม่ติดขัดหรือสะดุดอีก


3. การผ่าตัดแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ
    3.1การผ่าตัดแบบเปิด เป็นวิธีมาตรฐาน ที่ควรทำในห้องผ่าตัด โดยฉีดยา

ชาเฉพาะที่ผ่าตัดเสร็จก็กลับบ้านได้ หลัง
ผ่าตัดหลีกเลี่ยงการใช้งานหนัก และ

การสัมผัสนิ้ว ประมาณ 2 สัปดาห์
    3.2การผ่าตัดแบบปิด โดยการใช้เข็มเขี่ยหรือสะกิดปลอกหุ้มเอ็นออก โดย

แทบไม่มีแผลให้เห็น โดยวิธีนี้อาจมีผลแทรกซ้อนได้ถ้าไปเขี่ยหรือสะกิดถูก

เส้นประสาท ดังนั้น จึงไม่แนะนำสำหรับนิ้วที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของ

เส้นประสาทสูง คือ นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้ และการผ่าตัดแบบปิดนี้ใช้ได้

สำหรับคนไข้ที่มีอาการของโรคตั้งแต่ระยะที่สองขึ้นไป
หลังจากที่ได้อ่านกัน

แล้ว ใครที่กำลังประสบกับอาการนิ้วล็อคอยู่ ก็ลองนำวิธีการด้านบนไปทำตาม

ได้เลย ส่วนคนที่ยังไม่เกิดอาการก็ควรทำตามวิธีการป้องกันด้านบนเพื่อที่จะ

ได้หลีกเลี่ยงการเป็นนิ้วล็อคที่แสนจะเจ็บปวด


ที่มา... "thaijobsgov.com"
Cr. "http://www.bedtaledidea.com/2016/05/blog-post_6.html"

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด

ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมากเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
.
📍 หากมีภูมิคุ้มกันน้อยไป ร่างกายจะมีความเสี่ยงที่จะติดโรคได้สูง เช่น โรคที่เกิดจากเชื้อรา, แบคทีเรีย, ไวรัส, เนื้องอก, มะเร็ง และเอดส์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
.
📍 หากมีภูมิคุ้มกันมากไป ทำให้เกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune) เกิดภาวะเสื่อมในอวัยวะต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผื่นแพ้คันตามผิวหนัง, หอบหืด, ข้อเข่าเสื่อม, ข้ออักเสบรูมาตอยด์, SLE, ข้ออักเสบเก๊าท์, สันติบาต, สะเก็ดเงิน, เบาหวาน และความเสื่อมของสายตา เป็นต้น
.
ทางที่ดี ร่างกายของเราต้องมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล ไม่น้อยเกินจนสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้ามาทำร้าย หรือไม่มากเกินจนเซลล์เม็ดเลือดขาวกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
.
เราสามารถกล่าวได้ว่า หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่สมดุลแล้ว โรคภัยไข้เจ็บใด ๆ ก็จะไม่มาเยือนอีก
.
ซึ่งการที่เราจะมีภูมิคุ้มกันที่สมดุลได้นั้น ต้องดูแลร่างกายตามหลักภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการดูแลร่างกายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการดูแลที่ต้นเหตุ และสามารถช่วยให้สุขภาพดีได้อย่างยั่งยืน
.
*** ทีมงานนักวิจัย Operation BIM มุ่งหวังที่จะเผยแพร่ความรู้ และการค้นคว้าวิจัย ที่จะนำไปสู่มิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพด้วย #ภูมิคุ้มกันบำบัด #BIMTherapy ***
.
สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
"http://www.bim100.com/"
.
สำหรับท่านที่มีความสนใจ หรือเป็นผู้ป่วยมะเร็ง, HIV หรือโรคดูแลยาก สามารถติดตามข้อมูลดี ๆ และงานวิจัยของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ได้จากเพจของอาจารย์ "https://www.facebook.com/Dr.Pichaet/ "นะครับ

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข้าวโพดต้ม

ข้าวโพดต้ม

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
ข้าวโพดต้ม ล้มโรคร้าย"

เรื่องนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ โคมลอยขึ้นมา เพราะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐอเมริกา รายงานผลการวิจัยลงในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า "ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว จะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน"

เมื่อก่อนนี้เราจะมีความเชื่อกันว่า ผักและผลไม้ที่ปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหาร จึงนิยมกินกันดิบๆ แต่คิดดีๆใครจะแทะข้าวโพดดิบๆกินกันล่ะคะ...ซึ่งนับว่าโชคดีทีเดียว เพราะข้าวโพดหวานเป็นพืชที่แม้ปรุงสุกแล้วแต่ยังคงเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษไว้ได้อย่างดี ถึงจะเสียวิตามินซีไปบ้างก็ตามที ซึ่งก็อย่าได้แคร์ เพราะเราไม่ได้หวังวิตามินซีจากข้าวโพดเป็นหลักอยู่แล้วนี่

นักวิจัยทำการทดลองด้วยการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25, และ 50 องศาเซลเซียส ผลปรากฎว่า ยิ่งต้มนาน ก็จะยิ่งทำให้มีสารซึ่งเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้น 22, 44 และ 53 เปอร์เซนต์ตามลำดับ

ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า สารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษนี้จะช่วยทำลายล้างพิษของพวกอนุมูลอิสระตัวอันตรายต่อเซลล์อวัยวะต่างๆ อีกทั้งยังเป็นตัวก่อการร้ายที่จะทำให้เกิดโรคที่มีเหตุมาจากความชรา เช่น ต้อกระจก, โรคสมองเสื่อม รวมทั้งโรคร้ายอย่างหัวใจ และมะเร็งด้วย

พระเอกของเราที่รับบทเป็นตัวล้างพิษนี้ คือ กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) กรดอินทรีย์ที่เป็นสารสำคัญช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านความชรา ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง
นักวิจัยกลุ่มนี้กล่าวว่า ข้าวโพดหวานต้มหรือปิ้ง จะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก ออกมา ยิ่งผ่านความร้อนสูงก็ยิ่งออกมามาก ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากกรดเฟรุลิกจัดอยู่ในพวกพฤษเคมี ซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่อุดมอยู่ในฝักข้าวโพด ดังนั้นการทำสุกจึงช่วยให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น นอกจากจะช่วยต้านความเสี่ยงการเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งแล้ว สำหรับคนที่เป็นมะเร็งที่รับการทำคีโม กินข้าวโพดต้มจะเป็นผลดีนะคะ เพราะเจ้าสารล้างพิษนี้จะไปล้างพิษเคมีที่เกิดจากการทำคีโมได้ค่ะ



วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อันตรายทาน แคลเซียม มากเกินไป

อันตรายทาน “แคลเซียม” มากเกินไป โรคก็มากตาม
.
ทุกคนรู้ดีว่า “แคลเซียม” จำเป็นต่อร่างกาย ใช้ในการสร้างกระดูกและฟันในร่างกาย 🦷 รวมถึงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มีส่วนทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ฯลฯ หลายคนอาจจะเคยกังวลใจ ว่าจะขาดแคลเซียมจึงนิยมซื้อผลิตภัณฑ์แคลเซียมมาบริโภค แต่รู้หรือไม่ว่า ถ้าหากบริโภคมากเกิดไปอันตรายจะถามหา เมื่อร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินความจำเป็น ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายได้เหมือนกัน ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ที่มา "https://is.gd/Onj0Jj"


วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วิธีขจัดสารพิษให้ออกไปจากร่างกายแค่กินอาหารเหล่านี้!!


วิธีขจัดสารพิษให้ออกไปจากร่างกายแค่กินอาหารเหล่านี้!!


ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล



วิธีขจัดสารพิษให้ออกไปจากร่างกาย ทำได้ง่ายๆ..แค่กินอาหารเหล่านี้!!

ในทุกๆ วันนี้เราได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายอยู่ตลอดเวลา สารพิษเหล่านั้นอาจมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปทุกวัน ซึ่งในอาหารนั้นมีทั้งสารเคมี สารกันบูด สี ผสมอาหาร แอลกอฮอล์ และเชื่อโรคที่เรามองไม่เห็น
ดังนั้นการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นตัวช่วยขจัดสารพิษในร่างกายได้ดี


- น้ำมะนาวร้อน...การดื่มน้ำมะนาวแบบร้อนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะการผสมน้ำมะนาวกับน้ำร้อนเป็นการช่วยล้างสารพิษได้ดี โดยสรรพคุณของน้ำมะนาวร้อนจะ
ช่วยบำรุงตับให้ผลิตน้ำดีออกมาช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ แต่เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรดื่มก่อนมื้ออาหารหรือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน ตอนเช้า เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นไปในตัว


- น้ำมันละหุ่ง... คือของเหลวที่สกัดจากเมล็ดละหุ่ง มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ นิยมนำมาใช้ในเครี่องสำอาง สบู่ สิ่งทอ น้ำมันนวด และอื่น ๆ มี สรรพคุณเป็นยาระบายต่อผู้ที่มีอาการท้องผูก และยังช่วยกำจัดสารพิษในตับได้ โดยผสมน้ำมันละหุ่ง 40 มิลลิลิตร กับนม เขย่าประมาณ 5 นาที
ควรดื่มในตอนเช้า ขณะท้องว่าง เนื่องจากน้ำมันละหุ่งเป็นยาขับถ่ายรุนแรง


- กระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรไทย ที่จัดได้ว่าเส้นใยมีคุณสมบัติในการละลาย น้ำ ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเส้นใย ของกระเจี๊ยบเป็นตัวกำจัดไขมันที่มีปริมาณสูงจึงสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ โดยการจับกับน้ำดี ซึ่งจะดักจับสารพิษในร่างกายที่ถูกส่งมาจากตับ และสารเมือก ในฝักยังช่วยจับสารพิษที่หลงเหลือในลำไส้ และขับออกมาทางอุจจาระ ทำให้ไม่เหลือสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้

- ทับทิม... เป็นพืชสมุนไพรที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจาก ในผลทับทิมมีสารแอสไพริน ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ โดย เฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ เป็นต้น


- เกรพฟรุต หรือส้มโอ เป็นสุดยอดผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินC กรดซิตริก
และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประโยชน์กับตับ ส่งผลดี ต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ชะล้างสารพิษ อีกทั้งยังช่วยละลายเมือกและของเสียออกจากระบบภายในร่างกายทั้งหมด ที่สำคัญยังมีสารต้านมะเร็ง อย่างเช่น ไลมิ นอยด์ และไลโคปีนอีกด้วย


ที่มา...maeban.co.th

Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/11/blog-post_15.html"


วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สูตรชาบำรุงสายตา รักษาโรคต้อ

สูตรชาบำรุงสายตา รักษาโรคต้อ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

 ดื่มแก้ตาแห้ง ดีขึ้นภายใน 5 วัน!!

อาการตาแห้งนั่น บางท่านที่ไปหาหมอแผนปัจจุบัน หมอท่านจะให้หยอดน้ำตาเทียม ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นกับดวงตาได้ดีครับ แต่คนไข้บางรายก็บอกว่ายิ่งหยอดก็ยิ่งแห้ง กลายเป็นว่าต้องหยอดบ่อยๆ เพราะไม่หยอดจะแห้งมาก!!

อาการตาแห้งนั้น หมอแผนโบราณพิจารณาที่ตับครับ เพราะตาเป็นจุดแสดงสัญญาณของตับ วันไหนที่ตับนั้นรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย จากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น นอนดึก ท้องผูก

ดื่มน้ำน้อย เครียด ทำงานหนักเกินกำลัง ตับก็จะบอกว่าเราไม่ค่อยสบาย
เพราะตับนั้นเป็นแหล่งจ่ายเพลิงธาตุกองใหญ่ให้กับร่างกาย แต่กลับอ่อนแอไม่ชอบร้อน!!

โดยเฉพาะท่านที่เครียดและนอนดึก เป็นการทำลายตับทางตรง นี่ยังไม่รวมถึงพวกรักสุขภาพทานอาหารเสริมเป็นอาหารหลัก ทานผักผลไม้สดล้างไม่สะอาดบ่อยๆ ทานถั่วที่มีเชื้อราผสม พวกนี้ทำลายตับทั้งนั้น


วันนี้ให้สูตรชาบำรุงสายตาครับ ใช้รักษาโรคต้อร่วมกับยาสรรพต้อ และตรีผลามหาพิกัด

สูตรชาบำรุงสายตา

1. ดอกอัญชันสด 7 ดอก
(เอาเกสรและฐานรองดอกออก)

2. เก๋ากี่ 1 กำ

3. พุทราจีน 3 ลูก

4. ดอกเก็กฮวย 1 กำ

5. น้ำตาลกรวด 1 ก้อน
(ประมาณหัวแม่มือ ไม่ใส่ก็ได้)


วิธีทำ

1. บุบพุทราจีนและเก๋ากี่ให้พอแหลก ใสลงในหม้อ เติมน้ำ 3-4 ถ้วย ต้มด้วยไฟแรงให้เดือด พอเดือดลดไฟลงกลางๆ ต้มต่ออีก 30 นาที ปิดไฟ เติมน้ำตาลกรวด คนให้ละลาย
(น้ำต้มนี้ใช้ได้ 3 ครั้ง หลังจากครั้งแรกก่อนผสมกับข้อ 2 ต้องอุ่นใหม่ทุกครั้ง)

2. ใส่ดอกอันชัญและดอกเก็กฮวยลงในแก้วกาแฟใบใหญ่ เติมน้ำที่ต้มแล้วในข้อ 1 ลงไปให้เต็มแก้ว แช่ทิ้งไว้จนอุ่นหรือเย็น
แล้วช้อนเอาเฉพาะกากดอกไม้ออก ส่วนเก๋ากี้และพุทราจีนทานได้

ดื่มตอนท้องว่างวันละ 3 ครั้ง สูตรนี้หากอยากให้ออกฤทธิ์ได้ดีเป็น 2 เท่าจะต้องเติม "จตุผลาธิกะ" ลงไป 1 ช้อนชา จะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นหลายเท่า (หาซื้อได้ตามร้านขายสมุนไพร)

อาการตาแห้งนั้น ต้องแก้ที่เหตุที่ทำให้ตับร้อน อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แก้ที่ต้นเหตุ และรักษาปลายเหตุไปพร้อมๆกันดีที่สุดครับ

ที่มา...คลินิกสมุนไพรหมอศุภ การแพทย์แผนไทย


Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/08/5_25.html"

ผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง

ผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา กินช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิต

ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วยซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน

สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก“ฮีโมโกลบิน” มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67

ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ

 ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ
ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล


กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต

1.ทับทิม ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสด

วันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือ ร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2.แก้วมังกร อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า
แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3.สตรอว์เบอร์รี่ ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4.กล้วย ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5.แตงโม จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัวไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ

การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย

นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว


ขอขอบคุณข้อมูล...จากสุขกายสบายใจ


Cr. "http://www.bedtaledidea.com/2016/08/5.html"

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2562

การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการต่อสู้กับโรค
.
ผักและสมุนไพรไทย 4 ชนิด ดังต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรรับประทานเพราะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือกได้ดีมาก ๆ ค่ะ
.
1. มะระขี้นก
เป็นสมุนไพรที่ขึ้นชื่อเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด มีสารชาแรนทินซึ่งมีฤทธิ์ต้านเบาหวาน และชะลอความผิดปกติของไต
.
2. ตำลึง
นิยมใช้ในรักษาเบาหวานมาหลายพันปี มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
.
3. กระเจี๊ยบเขียว
มีไฟเบอร์สูง สามารถช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาล จึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
.
4. มะเขือพวง
มีสารเพคติน ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล โดยสารนี้มีหน้าเคลือบผิวลำไส้ ทำให้ร่างกายดูดซึมแป้งและน้ำตาลช้าลง
.
ผู้ป่วยเบาหวานควรทานผักเป็นหลัก โดยมีสัดส่วน 1/2 ของอาหารแต่ละมื้อ และควรทานให้หลากหลายในปริมาณที่เหมาะสม เท่านี้ทั้งสุขภาพและชีวิตก็จะดีขึ้นแล้วค่ะ

----------------------------------------

Reverse Disease by Yourself
โปรแกรมดูแลสุขภาพสำหรับผู้เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
เปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคแบบเดิม ๆ ที่ต้องใช้ยา
มาใช้แนวทางเน้นดูแลตนเองในเรื่องการปรับอาหาร ออกกำลังกาย การจัดการความเครียด  ลดการใช้ยาและดูแลตัวเองได้ ภายในระยะเวลา 1 ปี
.
รายละเอียดโปรแกรม: "https://bit.ly/2S775ml"
หรือสามารถทักมาสอบถามทางอินบ็อกซ์ได้เลยนะคะ m.me/Wellnesswecare
.
เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ ศูนย์ฝึกอบรมสุขภาพ
เพื่อการป้องกัน บำบัดฟื้นฟู และพลิกผันโรค
📞โทร: 02-0385115
📧 อีเมล: info@wellnesswecare.com





วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ความดันโลหิตสูง เหตุของโรคแทรกซ้อน

ความดันโลหิตสูง เหตุของโรคแทรกซ้อน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
“ความดันโลหิตสูง” หรือ “ภาวะความดันโลหิตสูง” เป็นอีกหนึ่งโรคที่สามารถพบได้บ่อยในวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนหนึ่งของโรคนี้ก็มาจากพันธุกรรม สาเหตุรองลงมามักจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมการทานอาหาร และการใช้ชีวิตของเรา สามารถเกิดจากความเครียด และการที่มักไม่ค่อยออกกำลังกายด้วย ที่สำคัญเมื่อเป็นแล้วก็จะเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
.
หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะความดันโลหิตสูงสามารถนำไปสู่โรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา มาดูกันเลยว่า ระดับของความดัน สาเหตุของความดันสูง และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดความดันสูงอย่างไรบ้าง

ที่มา "https://bit.ly/2xnZ27p"

#MHERBS #Natureherb #เอ็มเฮิร์บ #เนเจอร์เฮิร์บ #เรื่องสุขภาพรอไม่ได้ #พลิกชีวิตกลับสู่สมดุล #หมอแสง #MHERBSสูตรหมอแสง #ภูมิคุ้มกันรักษาโรค #ภูมิต้านทานโรค #มะเร็ง #สุขภาพ #Cancer #สมุนไพร #ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารระวังมะเร็งลำไส้

ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารระวังมะเร็งลำไส้
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

จริงดิ! ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารระวังมะเร็งลำไส้เล่นงาน

น้ำเย็นเรามักจะเคยชินกับการดื่มน้ำเย็นๆหลังรับประทานอาหาร แต่ทราบไหมว่าน้ำเย็นๆ ที่ดื่มตามลงไปทันทีหลังรับประทานอาหารนั้นอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้
อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นล้วนแต่ต้องผ่านการปรุงด้วยน้ำมันเป็นส่วนใหญ่

และอาหารบางอย่างก็มีไขมันสูงอยู่แล้ว หลังจากที่เรารับประทานอาหารแล้วดื่มน้ำเย็นๆตามลงไปทันทีนั้น ความเย็นจะไปทำให้ไขมันจับตัวเป็นก้อนอยู่ใน
กระเพาะ และลำไส้ไขมันที่จับตัวเหล่านี้เมื่อเจอกับกรดในกระเพาะอาหารจะกลายเป็นสภาพกึ่งของแข็งของเหลวที่เหนียวและข้น จากนั้นจะไหลเข้าสู่ลำไส้ก่อนอาหารที่มีสภาพเป็นของแข็งชนิดอื่น และจะถูกดูดซึมเข้าสู่ลำไส้แต่ที่สำคัญลำไส้จะไม่สามารถดูดซึมไขมันชนิดนี้ได้ทั้งหมด

ดังนั้นผนังลำไส้ของเราจะเต็มไปด้วยคราบไขมันที่เหลือเมื่อเกิดการสะสมเช่นนี้เป็นประจำนานๆเข้า ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งลำไส้ในที่สุดได้
ส่งต่อเรื่องนี้ซิ !! เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ของคุณ
CR.ความรู้รอบตัว "http://xn--43c.com/"

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ไม่อยาก ‘ฟอกไต’ ตอนแก่ อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ไว้

ไม่อยาก ‘ฟอกไต’ ตอนแก่ อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ไว้
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ไว้ ถ้าไม่อยาก ‘ฟอกไต’ ตอนแก่ไม่อยาก ‘ฟอกไต’ ตอนแก่ อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ไว้ อะไรบ้างที่ไม่ควรทำ

อย่างที่รู้กันว่า ‘ไต’ เป็นอวัยวะที่สำคัญมาก สำคัญขนาดที่มีการแอบซื้อขายไตกันอย่างผิดกฎหมายด้วยราคาสูงปรี๊ดด ทั้งนี้ก็เพราะถ้าไม่มีไต ชีวิตก็ต้องสะดุดลงแน่นอน ถ้าไม่อยากต้องสูญเสียไตไปก่อนวัยอันควร มาลองศึกษาวิธีการถนอมไตให้แข็งแรงตลอดไปกันดีกว่า
 วิธีง่ายๆดังต่อไปนี้ค่ะ

ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อระบบขับถ่ายปัสสาวะ มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดงขนาดเท่ากำปั้น มี 2 ข้างอยู่
ด้านหลังบริเวณเอว ไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย สร้างสารที่มีประโยชน์ ตลอดจนควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย และช่วยขับถ่ายสารแปลกปลอมที่ร่างกายรับมา หากไตเกิดความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ของเสียต่างๆ ก็จะสะสมและคั่งค้าง จนเกิดอันตรายต่อร่างกายได้

อาการของโรค

ระยะแรก มักจะไม่มีการแสดงอาการใดๆ เนื่องจากไตสามารถปรับการทำงานให้สมดุลได้แม้เหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์จากปกติก็ตาม

ระยะที่สอง เมื่อใดที่การทำงานของไตลดเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ จะเริ่มแสดงอาการต่างๆ ได้แก่

– อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร
– ซีด
– คันตามตัว บวมตามใบหน้าและแขนขา
– ปัสสาวะมากตอนกลางคืน
หากมีอาการเหล่านี้ให้ต้องสงสัยไว้เลยว่าไตของคุณเริ่มถูกทำลายลงไปแล้ว

วิธีการตรวจหาความผิดปกติและป้องกันโรค

1. ตรวจร่างกายประจำปี เพื่อคัดกรองโรคไตในเบื้องต้น
โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต เช่น

– ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี

– ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือดอื่นๆ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเกาต์

– ผู้ที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไต
- ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ หลายครั้ง

– ผู้ป่วยที่ทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

– ผู้ที่สัมผัสกับสารเคมีบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน

2. ชะลอความเสื่อมของไต

หากผู้ป่วยโรคไตรู้จักทะนุถนอมไตอย่างถูกวิธีจะทำให้พวกเขามีชีวิตยืนยาวโดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการล้างไต ฟอกเลือด และปลูกถ่ายไต

วิธีการถนอมไตมีดังต่อไปนี้ ได้แก่

– ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ คือ ระดับต่ำกว่า 130/80 มิลิเมตรปรอท
– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน
– ควบคุมและหลีกเลี่ยงอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ เพื่อไม่ให้ระดับของเสียในร่างกายเพิ่มขึ้น
– เน้นการทานโปรตีนจากเนื้อปลาและไข่ขาว เนื่องจากย่อยง่ายและมีคุณค่าทางอาหารสูง
– หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ของหมักดอง ขนมขบเคี้ยวต่างๆ และอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและอาการบวม
– หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน เช่น กะทิ เนื้อติดมัน ของทอด ไข่แดง อาหารทะเล เป็นต้น เพราะถ้าหากมีไขมันในเลือดสูงจะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวและเป็นผลเสียต่อไต

– งดสูบบุหรี่
– ออกกำลังกายเบาๆที่จะช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น เช่น บริหารร่างกายอยู่กับที่ เดิน เป็นต้น

– ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ วันละประมาณ 8 -10 แก้ว

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารหวาน มัน เค็ม ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่ซื้อยาทานเอง หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง จะเป็นการป้องกันที่ดีที่จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรง ไตแข็งแรงได้ตลอดไป

CR. "http://www.thaijobsgov.com/jobs=60303"

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ประโยชน์ของการนอนเร็ว 4 ทุ่ม

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ประโยชน์ของการนอนเร็ว 4 ทุ่ม หากรู้แบบนี้เปลี่ยนเวลานอนด่วน

หลายๆคนรวมถึงตัวผมเองนั้นมีพฤติกรรมการนอนดึกเป็นประจำ บางคนอาจจะไม่เกินเที่ยงคืน แต่บางคนนี่สิครับ แบบนี้นอนเกินเที่ยงคืน อาจด้วยสาเหตุการทำงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การนอนดึกนั้นถือเป็นสิ่งเลวร้ายต่อร่างกาย วันนี้เราจึงมาแนะนำชวนหลายๆคนปรับเปลี่ยนเวลานอนตัวเองเสียใหม่
ควรจะเข้านอนก่อน 4 ทุ่มจะเป็นที่ดีที่สุด

ประโยชน์การนอนเร็วนั้นมีด้วยกันถึง 10 ประการคือ

1. สมองสร้างเคมีสุข
สมองถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในร่างกายของคนเรา โดยไม่เว้นแต่เวลานอน

2. สร้างแคมีหนุ่มสาว การที่นอนก่อน 4 ทุ่มนั้นสมองจะเต็มที่กับการผลิตฮอร์โมนได้เป็นอย่างดี

3. ความจำดีขึ้น การนอนดึกนั้นจะทำให้ความจำของเราลืมง่าย และไม่มีสมาธิในการทำงานหรือเรียนด้วย

4. คุมความดันโลหิตได้ การนอนไวนั้นทางชีววิทยาในสมองทำการซับซ้อนแต่มันสามารถช่วยคุณควบคุมความดันได้

5. ร่างกานได้ซ่อมแซม ยิ่งหากเราได้นอนเร็วมากเท่าไหร่ สุขภาพของคุณจะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น

6. ไม่เสี่ยงอ้วน เพราะการนอนไวนั้นร่างกายจะทำการเผาผลาญไขมันได้มากกว่าคนนอนดุก

7. มีความสุขง่ายๆ เพราะหากเรานอนไว ความจำจะดีขั้น และที่สำคัญไม่เกิดให้รู้สึกว่าหงุดหงิดง่าย

8. ได้ล้างพิษ โดยเฉพาะสาวๆที่เป็นประจำเดือน หากได้นอนไวสามารถช่วยแก้ปวดประจำเดือนได้ด้วย

9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ หากคุณเป็นโรคหัวใจนั้น หรือโรคประจำตัวนั้น การนอนเร็วสามารถช่วยคุณได้

10. สำคัญมากที่คุณคือ ป้องกันการแก่ได้ เพราะการนอนไวที่สุดนั้นเป็นการช่วยให้ร่างกายเราซ่อมแซมได้มากที่สุด ดีกว่าการทานวิตามินเสริมอีกด้วย


เรียบเรียงโดย : KidTam.com


Cr. "http://www.kidtam.com/7300"

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง

วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง อย่าเก็บไว้คนเดียว เพราะมีโอกาสช่วยชีวิตบางคนได้

วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้

ระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหิน
เพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัวเธอเองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว

ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิตแต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าวว่า
ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่ นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน

หมอบอกว่า
คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดังนี้


S *Ask the individual to SMILE. คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม


T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently) (i.e.. It is sunny out today.) คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS. คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

Blood Clots/Stroke
– They Now Have an Indicator, the Tongue สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน

แลบลิ้นออกมาดู คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจบอกว่า
หากคุณได้รับทราบข้อความนี้ และส่งต่อ อาจมีโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างน้อย 1 คน ก็เป็นได้

ปล. ถ้าพบเพื่อนมีอาการดังกล่าว จะสามารถช่วยเขาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงนะคะ
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : สุขภาพไทยดอทคอม

Cr. "http://www.rak-sukapap.com/2016/10/blog-post_757.html"

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ผักชี สมุนไพรมหัศจรรย์!

ผักชี สมุนไพรมหัศจรรย์! ช่วยกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกายของคุณได้ถึง 80% ใน 42 วัน


เราสามารถพูดได้ว่าผักชีเป็นหนึ่งในสมุนไพรสำหรับล้างสารพิษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด มันสามารถกำจัดโลหะหนักและสารพิษปนเปื้อนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังสามารถ ขัดขวาง

สารปรอทจากอวัยวะของคุณได้อีกเช่นกัน

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุไว้
 โลหะหนักมีส่วนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง สมองเสื่อม ภาวะทางอารมณ์ โรคปอด โรคไต และโรค กระดูกเปราะ
ผักชนิดนี้ดีต่อสุขภาพ

มันเต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีเป็นจำนวนมากรวมถึงแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมงกานีส เหล็ก นอกจากนี้ยังมีวิตามิน A และ K สูง ซึ่งได้รับการพิสูจน์

แล้วว่าช่วยต้านการอักเสบ ลดการติดเชื้อ และฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว
นักวิจัยชาวอินเดียแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ (AIIMS) ในนิวเดลี ได้ใช้วิธีแก้ปัญหานี้โดยการฉีดสารแอนติเจนเข้าไปในอุ้งเท้าหลังด้านซ้ายของหนู ซึ่งจะทำ ให้เกิด

การอักเสบและบวมคล้ายกับเป็นโรคไขข้ออักเสบ
และพวกเขาได้ค้นพบว่าเมื่อหนูได้รับการบริโภคผักชีเข้าไปมันก็สามารถช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้


วิธีใช้ผักชี

เราจะนำเสนอวิธีการทำที่มีประสิทธิภาพอีกทั้งยังมีราคาถูกให้กับคุณเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน

เพียงแค่ใช้ผักชีออร์แกนนิคไม่กี่ต้นใส่ลงไปในเครื่อง

ปั่นและดื่มมันอย่างสม่ำเสมอ หรือคุณจะเพิ่มผักชีรวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณก็ได้อ
สูตรรักษาอาการอักเสบด้วยผักชี

ส่วนผสม:

ผักชีออร์แกนนิคหั่น 1/2 ถ้วย
น้ำแอปเปิ้ลออร์แกน

นิค 1/2 ถ้วย
น้ำ 1/2 ถ้วย
ผงวีทกราส หรือ ผงคลอเรลลา 1 ช้อนชา



วิธีทำ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นและปั่นผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน และคุณจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ได้
เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์จากบทความนี้และไม่ลืมที่จะ แบ่งปันให้กับเพื่อนและคนในครอบครัวของคุณ


อ้างอิง : healthiestalternative.com

แปลข้อมูลโดย : "http://www.rak-sukapap.com/" เว็บไซต์ใดที่นำข้อมูลไปเผยแพร่ กรุณาช่วยให้ เครดิต และใส่ลิงค์กับมาที่เว็บไซต์ด้วยค่ะ


Cr." http://www.rak-sukapap.com/2016/11/80-42.html"

ผลไม้ 5 ชนิด กินช่วยล้างสารพิษ

ผลไม้ 5 ชนิด กินช่วยล้างสารพิษ ฟอกล้างตับ ลำไส้ และไต

ความรู้สึก เหนื่อยง่าย หมดแรง อ่อนเพลีย ที่เกิดจากภาวะความเครียด หรือสารพิษจากสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเจ็บป่วยได้ง่าย

อาการเหล่านี้ป้องกันและบรรเทาได้ง่าย ๆ ด้วยสุดยอดผลไม้ล้างสารพิษ รับรองว่าเมื่อทานเป็นประจำ จะสดชื่นแข็งแรงทั้งกายและใจเลยทีเดียว ...
เอาล่ะมาทานกันเลย

1.องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษา
น้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่าง ๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกายด้วย

2. สับปะรด มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น และสับปะรดยังช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูกด้วย

3. แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

4. มะละกอ มะม่วง แตงโม มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร จะช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับการทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร และมะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย

5. แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันในเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดยังอุดมด้วยวิตามินด้วย

อย่างไรก็ตาม การล้างพิษเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของการดูแลสุขภาพ เพราะหากคุณอยากมีสุขภาพที่ดี ต้องเริ่มต้นดูแลสุขภาพในทุก ๆ ด้านตั้งแต่วันนี้


ขอบคุณ "www.liekr.com
"
ที่มา...khumproducts.com

ขอบคุณที่มา : รักษ์สุขภาพโดยวิถีธรรมชาติ


Cr. เพจClubคนรักสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ดื่มตามนี้ ก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคไต และโรคอื่นๆได้แล้ว

แค่ดื่มตามนี้ ก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคไต และโรคอื่นๆได้แล้ว

เครื่องดื่มที่เรากำลังจะเสนอนี้ เป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคไต และสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของเราให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยไปขจัดไขมันที่อยู่ใน เส้นเลือด และยังบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดี โดยเครื่องดื่มนี้มีส่วนผสมเพียง 3 อย่างเท่านั้น นั่นก็คือ บีทรูท แครอท และแอปเปิ้ลเท่านั้น

บีทรูทมี กรดโฟลิค แคโรทีนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นคุณสมบัติที่ต่อต้านมะเร็ง
และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร แล้วผสมรวมกับแครอทและแอปเปิ้ล ยิ่งจะทำให้มันมีประสิทธิภาพในการบำรุงสุขภาพของเราดีขึ้นกว่าเดิม


ขั้นตอน
วิธีทำ

เริ่มโดยการนำบีทรูทลงไปปั่นให้เป็นน้ำผลไม้ เสร็จแล้วนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำแครอทและแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำบีทรูท เพียงแค่นี้เรา ก็จะได้น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพแล้ว โดยใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

โดยเราจะต้องจำไว้เลยว่า ไม่สามารถนำทั้งหมดมา
ปั่นรวมในครั้งเดียวได้ จะต้องนำน้ำบีทรูทไปแช่ในตู้เย็นก่อน เนื่องจากเราต้องการจะให้ได้ประสิทธิภาพจากน้ำใน ช่วงที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องการเสียคุณสมบัติของมันไป มิฉะนั้น น้ำบีทรูทนี่อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเวียนศีรษะได้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก "www.rak-sukapap.com"


! เลี่ยงการใช้น้ำสมสายชูใน 9 สถานการณ์

! เลี่ยงการใช้น้ำสมสายชูใน 9 สถานการณ์


มาดามป้าเป็นคนนึงที่มีน้ำส้มสายชูติดบ้านไว้ตลอด ส่วนหนึ่งใช้สำหรับ

ประกอบอาหาร แต่อีกประโยชน์นานัปการของน้ำส้มสายชูกับงานบ้าน
งาน

ทำความสะอาด ทำให้มาดามป้า
ไม่เคยนอกใจน้ำส้มสายชู แต่เดี๋ยวก่อนมัน
มี
9 สถานการณ์ที่เราจะใช้น้ำส้มสายชูไม่ได้
ว่าแต่มันคือจุดไหนบ้างอ่ะ


1. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูทำความสะอาดเคาท์เตอร์หิน บางบ้านเลือกใช้

เคาท์เตอร์ในครัว โดยใช้หินมาติดบริเวณด้านบน ที่เราเรียกกันว่า ท๊อปเคาท์

เตอร์
ซึ่งเราไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูในการทำความสะอาด เพราะน้ำส้มสายชูนั้น

มีกรดผสมอยู่ 5 เปอร์เซนต์ และมันสามารถสร้างความเสียหายให้กับหิน ไม่

ว่าจะเป็นหินอ่อน หินแกรนิต หินไลม์หรือหินประเภทอื่นๆ ถ้าจะทำความ

สะอาดหินควรเปลี่ยนมาใช้น้ำสบู่แทน


2. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูขจัดคราบไข่ เพราะมันจะเข้าไปผสมและแห้งไปกับ

ไข่เหมือนโยเกิร์ต ทำให้ทำความสะอาดได้ยากมากขึ้น กรดในน้ำส้มสายชูจะ

ไปจับตัวกับโปรตีน ทำให้ยิ่งเหนียว ดังนั้น หากจะทำความสะอาดคราบโปรตีน

น้ำส้มสายชูจึงไม่ใช้สิ่งที่เหมาะ

3. น้ำส้มสายชูไม่เหมาะจะนำมาทำความสะอาดกระเบื้อง แม้ว่ามันจะ

สามารถกำจัดคราบเชื้อราได้ แต่มันก็สามารถทำให้ยาแนวและกระเบื้องเสีย

หายได้เช่นกัน เพราะน้ำส้มสายชู จะทำปฏิกริยากับซีเมนส์ โดยจะซึมเข้าไป

ในเนื้อซีเมนส์ ยาแนว และทำให้เกิดความเสียหายได้


4. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูร่วมกับน้ำยาซักผ้าขาว
บางคนต้องการกำจัดเชื้อรา

ในผ้า ก็ใส่น้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อยในเวลาซัก แต่ทั้งนี้ ต้องมั่นใจว่า ไม่มี

การผสม หรือใส่น้ำยาซักผ้าขาวลงไป เพราะเมื่อสองอย่างนี้รวมตัวกัน มันจะ

กลายเป็นก๊าซคอลรีน
ที่เป็นอันตราย ทำให้ผ้าเสียหาย หากสูดดมเข้าไปก็ก่อให้

เกิดอันตรายได้อีก


5. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูทำความสะอาดจอโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าเราจะใช้น้ำ

ส้มสายชูทำความสะอาดกระจกได้ดี แต่ไม่ควรนำมาใช้กับจอโทรศัพท์มือถือ

หรือจอคอมพิวเตอร์ เพราะมันจะไปทำลายตัวเคลือบที่เคลือบป้องกันจอภาพ

บนอุปกรณ์ หรือหน้าจอของเราได้


6. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูฆ่าแมลงศัตรูพืช บนต้นไม้ที่เราปลูก แม้ว่ามันจะ

สามารถป้องกันมด และแมลงอื่นๆ ได้ แต่การจะนำมาใช้ในสวน ต้องระมัด

ระวัง
เพราะน้ำส้มสายชูนั้น ใช้กำจัดวัชพืชได้ด้วย ดังนั้น
มันก็ทำอันตรายกับ

ต้นไม้ของเราได้เช่นกัน


7. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูขัดหม้อ แม้ว่าเราจะสามารถใช้น้ำส้มสายชูผสมกับ

น้ำยาล้างจาน ทำความสะอาดจานชามได้หมดจด แต่สำหรับหม้อนั้น ไม่เหมาะ

เพราะน้ำส้มสายชูจะทำปฏิกริยากับหม้อที่เป็นเหล็ก และอลูมิเนียม ทำให้ผิว

ของวัสดุเสียหาย แต่ถ้าเป็นสแตนเลสสตีล สามารถใช้ได้


8. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูผสมกับสบู่กรด หากจะใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างนี้

ในการทำความสะอาด
ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะหากผสมกัน
จะทำ

ให้คุณสมบัติในการทำความสะอาดเสียไป
9. ไม่ควรใช้น้ำส้มสายชูกับผ้าที่เปื้อนสี
เช่นถ้าหากเสื้อขาวถูกกางเกงยีนส์สี

เข้มตกใส่
ในกรณีนี้ น้ำส้มสายชูช่วยไม่ได้ เพราะมันจะยิ่งทำให้สีนั้นติดถาวร

แต่ในทางกลับกัน หากเราใช้น้ำส้มสายชูกับผ้าใหม่ จะช่วยป้องกันไม่ให้ผ้า

นั้นสีตกใส่ชิ้นอื่น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : rodalesorganiclife.com

Cr : "photo :m.imgur.com"

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ถ้าฉี่ราด บ่อยๆ เสี่ยงเป็น โรคสมองเสื่อม จริงหรือไม่

ถ้าฉี่ราด บ่อยๆ เสี่ยงเป็น โรคสมองเสื่อม จริงหรือไม่

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
จริงเหรอ!?! ถ้า “ฉี่ราด” บ่อยๆ เสี่ยงเป็น “โรคสมองเสื่อม”
.
สำหรับ “#โรคสมองเสื่อม” เกิดจากน้ำในโพรงสมองเพิ่มขึ้น โดยปกติโพรง

น้ำในสมองจะมีน้ำหล่อเลี้ยงสมองอยู่ หากมีปริมาณของน้ำในโพรงสมองที่มาก

เกินไป จะทำให้เกิดการขยายขึ้นของโพรงน้ำ ไปกดเบียดเนื้อสมองบริเวณ

รอบๆ ทำให้สมองทำงานผิดปกติได้ ซึ่งจริงๆ แล้วภาวะนี้เกิดได้กับผู้คนทุกวัย

พบมากในผู้สูงอายุที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเอง สามารถ

เกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งคุณก็สามารถสังเกตอาการผิดปกติที่พบบ่อย

4 ข้อ นั่ก็คือ >>>

1. การเดินที่ผิดปกติ เป็นอาการแรกที่ปรากฏขึ้นมาก่อน
2. เดินก้าวขาลำบากคล้ายเท้าถูกดูดติดกับพื้น เดินซอยเท้า ถี่ๆ
3. ปัสสาวะราดบ่อยๆ เพราะเข้าห้องน้ำไม่ทัน
4. หลงลืมง่าย คิดช้า
.
อย่างไรก็ตามหากคุณเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ หรือมีข้อสงสัยว่าผู้ใหญ่

ในบ้านอาจจะเป็นโรคสมองเสื่อมควรรีบไปพบแพทย์ด่วน เพื่อทำการปรึกษา

หรือเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

ที่มา "https://bit.ly/2XI2K7V"

#MHERBS #Natureherb #เอ็มเฮิร์บ #เนเจอร์เฮิร์บ #เรื่องสุขภาพรอไม่

ได้ #พลิกชีวิตกลับสู่สมดุล #หมอแสง #MHERBSสูตรหมอแสง #ภูมิคุ้มกัน

รักษาโรค #ภูมิต้านทานโรค #มะเร็ง #สุขภาพ #Cancer #สมุนไพร

#ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!! ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคก...