วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2562

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!


ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคกระดูกทับเส้น คุณเองป้องกันได้นะครับ

กระดูกทับเส้นหรือโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คือ โรคที่เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกสันหลังของเราปลิ้น โป่งออกมาจากแนวกระดูกสันหลังจนไปเบียดทับกับเส้นประสาทรอบๆแนวกระดูกสันหลัง

เริ่มแรกผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอว เป็นๆ หายๆ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเป็นมากเวลา
ทำงาน เช่นยืน ก้ม เงย หรือนั่งนานๆ และจะดีขึ้นเมื่อได้นอนพัก ต่อมาจึงปรากฎอาการสำคัญที่บ่งบอกว่าหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดโป่งขึ้นมากดทับเส้นประสาทคืออาการปวดหลังรุนแรงอย่างเฉียบพลัน และมีอาการปวดร้าวลงมาที่ขา น่อง ตาตุ่มหรือเท้า ร่วมกับมีอาการชาขาหรือเท้าด้วย.....
เคยให้วิธีการตรวจว่าเป็นโรคกระดูกทับเส้นหรือไม่ ลองค้นดูโพสเก่าๆนะครับ

วันนี้หมอมาแนะนำท่ากายบริหารเพื่อยืดหลัง ยืดกล้ามเนื้อสะโพก ต้นขา ป้องกันโรคกระดูกทับเส้น และแก้ปวดหลัง,เอวได้ด้วย
เริ่มด้วยการนอนราบ ยกเข่าขวาขึ้นให้ต้นขาชิดหน้าท้อง ตามรูปทั้งรูปบนและล่าง ตอนหายใจเข้าพยายามดึงเข่าเข้าหาตัว ทำช้าๆค้างไว้นับ 1-10 แล้วคลาย ทำซ้ำ 10 ครั้งต่อท่า ทำก่อนนอนทุกวันครับ



ขอขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก
คลินิก สมุนไพรหมอศุภ การแพทย์แผนไทย
รักษาโรคปวดเข่า เบาหวาน...



วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ปวดเข่าแบบไหน เสี่ยงเป็นโรคเข่าเสื่อม

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล






วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ปวดขามีสาเหตุมากกว่าที่คิด

ปวดขามีสาเหตุมากกว่าที่คิด


ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

เชื่อไหมว่าหากนำ "เส้นเลือดแดง" ในตัวคนมาต่อกัน จะได้ความยาวมากกว่าระยะทางรอบโลกเสียอีก...

ตลอดความยาวอันน่าทึ่ง ภายในผนังเส้นเลือดแดงคือกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ไม่เคยหยุดส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ตราบใดที่เส้นเลือดแดงยังทำงานเป็นปกติ เจ้าของร่างกายก็จะยังไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร ต้องให้เกิดปัญหาการตีบตันขึ้นภายในหลอดเลือดเสียก่อน เราจึงจะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่ไม่ได้รับเลือดไปเลี้ยง"เส้นเลือดแดงที่ขา" เป็นอีกจุดที่เกิดการตีบตันได้บ่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน มีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือเคยสูบบุรี่จัด รวมทั้งคนอ้วน จะยิ่งมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบตันได้ง่าย

แค่ปวดขา หรือเป็นโรคหลอดเลือด

อาการที่เริ่มบอกว่าเส้นเลือดแดงอาจมีการอุดตัน ได้แก่ อาการปวดน่อง ปวดเท้า หรือปวดขา หลังจากเดินหรือออกกำลังกาย และจะดีขึ้นเมื่อได้พัก อาการเช่นนี้เรียกว่า Claudication ซึ่งเป็นการปวดเพราะกล้ามเนื้อขาดเลือด แต่เนื่องจากเป็นอาการปวดที่เมื่อได้พักแล้วหาย จึงทำให้คนไข้คิดว่าตัว
เองไม่ได้เป็นอะไรมาก และมักแก้ไขด้วยการหายามาถูนวด ยิ่งถ้าหากไปหาหมอ แล้วคุณหมอไม่ได้ตรวจอย่างละเอียดหรือไม่ได้คลำชีพจรที่เท้า ก็อาจไม่ทราบว่าโรคที่เกิดคือ "โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย" (Peripheral artery disease: PAD) แต่อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อ หรือโรคปวดเมื่อยตามประสาคนแก่ก็เป็นได้

อาการปวดขาจากโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายนี้ หากปล่อยทิ้งไว้จนเส้นเลือดตีบตันมากขึ้นอาจทำให้เท้าชา เย็น ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ก็อาจเกิดแผลที่รักษาไม่หาย ถ้าเป็นมากๆ อาจถึง
ขั้นมีลิ่มเลือดมาอุดตันจนทำให้เกิดอาการขาดเลือดมาเลี้ยงฉับพลัน หากแก้ไขไม่ทันจะทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่เท้าข้างนั้นตาย จนนำเป็นต้องตัดเนื้อเยื่อ ตัดนิ้ว หรือตัดเท้าตัดขาทีเดียว เนื่องจากถ้าทิ้งไว้พิษจากเนื้อตายจะซึมเข้ากระแสเลือด ลามไปทั่วร่างกายได้ หลอดเลือดอุดตันป้องกันได้ การป้องกันอาการหลอดเลือดแดงอุดตันลุกลามเริ่มต้นด้วยการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการที่น่าสงสัย เช่น ปวดเท้า หรือปวดน่องจากการเดินมากๆ หรือมีความเสี่ยงจากอาการ 4-5 อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็ควรเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องมือวัดความแข็งตัวของหลอดเลือดแดงที่เรียกว่า ABI

การตรวจพบแต่เนิ่นๆ จะทำให้คุณสามารถดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ได้เป็นหนักขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การดูแลตัวเองไม่ได้ยุ่งยากอะไร เบื้องต้นก็คือการออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาเป็นประจำ เช่น เดินเร็วๆ หรือวิ่งเหยาะๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที ส่วนผู้มีน้ำหนักเกินควรลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร รวมทั้งดูแลโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หรือไขมันสูง ควบคู่กันไปด้วย เพียงเท่านี้ก็พอจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการเส้นเลือดตีบรุนแรงขึ้นได้ที่สำคัญ อย่าลืมว่า หากคุณมีอาการชวนสงสัยว่าจะเกิดจากหลอดเลือดขอดหรือตีบ ต้องปรึกษาแพทย์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์หลอดเลือด รพ.หัวใจกรุงเทพ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ผักและสมุนไพรที่ช่วยต้านเบาหวาน

ผักและสมุนไพรที่ช่วยต้านเบาหวาน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

ได้เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าผักและสมุนไพรไทยหลากหลายชนิดที่มีสรรพคุณทางยาในการช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดีเยี่ยม รวมทั้งโรคเบาหวานด้วย ยกตัวอย่างเช่น สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของสารที่มีสรรพคุณช่วยเสริมการทำงานของสารอินซูลิน ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดนำไปใช้งานได้เร็วยิ่งขึ้น หรือจะเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีและวิตามินอีในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยไม่ให้ตับอ่อนนั้นถูกทำลาย ทัังยังช่วยลดการเสื่อมสลายของเซลล์ที่สร้างอินซูลิน
และช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคเบาหวานนั่นเอง

มาดูกันว่าผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยต้านเบาหวาน มีอะไรบ้าง

1.เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือและธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆจะประกอบไปด้วยวิตามินอี แมกนีเซียม และที่สำคัญคือใยอาหาร ในปริมาณที่สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลและปริมาณอินซูลินในกระเแสเลือด อีกทั้งใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ในธัญพืชไม่ขัดสีบางชนิด ซึ่งพบ
ได้มากในข้าวบาร์เล่ย์และข้าวโอ๊ต มีสรรพคุณที่ดีเยี่ยมในการช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลไม่สูงมาก การรับประทานธัญพืชไม่ขัดสียังมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนหลักที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะเป็นได้ในอัตราสูงมาก

2.ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเปลือกแข็งจะมีไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลได้ อีกทั้งยังช่วยในการทำให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วใน
ถั่วเปลือกแข็งยังมีสารอาหาร ใยอาหาร และแมกนีเซียม ซึ่งมีประโยชน์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่มีข้อพึงระวังในการรับประทานถั่วเปลือกแข็ง กล่าวคือ ให้ทานถั่วเปลือกแข็งแทนการทานเนื้อสัตว์ หรือแทนการทานพวกขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น พวกมันฝรั่ง หรือคุกกี้
เป็นต้น ทั้งนี้เพราะถั่วเปลือกแข็งมีไขมันและพลังงานที่ค่อนข้างสูงนั่นเอง โดยที่ไขมันที่ว่าเป็นประเภทไขมันดีชนิดเดียวกับที่มีในน้ำมันมะกอก ถ้าทานในปริมาณไม่มากก็ไม่เป็นอันตรายใดๆต่อร่างกาย

3.กระเทียมและหัวหอม กระเทียมและหัวหอมมีสารที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด อีกทั้งยังมีสารที่ช่วยละลายลิ่มเลือด ทำให้ลดปัญหาอาการหลอดเลือดตีบ และคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งคือช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือดด้วย

4.ตำลึง ในทุกๆส่วนของตำลึง ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น ใบ และผล ล้วนสามารถที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี และมีสารเบต้าแคโรทีนซึ่งช่วยในการชะลอความแก่และต้านมะเร็ง ตำลึงจึงเป็นผักที่ต้องเป็นอาหารหลักเลยของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

5.สะตอ นับว่าเป็นอาหารยอดนิยมชนิดนึง และมีสรรพคุณที่สำคัญในการช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดและช่วยลดความดันได้ดีอีกด้วย

6.ผักบุ้ง ผักบุ้งมีสรรพคุณทางยาที่เป็นที่รับรู้กันดีคือ ช่วยบำรุงสายตาเพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ นอกจากนี้ผักบุ้งยังช่วยลดอาการร้อนในและอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญในผักบุ้งมีสารคล้ายอินซูลินทำให้สามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดได้ จึงควรใช้ผักบุ้งทำเป็นอาหารให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

7.ใบมะยม ในใบมะยมมีวิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูงมาก จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี

8.มะระจีน ในมะระจีนมีสารสำคัญที่ช่วยในการลดการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคส และยังช่วยลดการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการข้างเคียงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

9.ขมิ้นและอบเชย จะมีสารที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้อย่าง
10.ฟักทอง การรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะส่งผลดีให้ได้รับสารสำคัญซึ่งมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลินซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความ
ดันโลหิต อีกทั้งฟักทองมีกากใยในปริมาณที่สูงมากจึงช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ไม่ทำให้อ้วนเนื่องจากมีแคลอรี่ไม่สูง จึงทำให้สามารถป้องกันโรคเบาหวานได้

โรคเบาหวานนับได้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงและเป็นจุดเริ่มต้นของโรคต่างๆอีกมากมาย
ดังนั้นเราต้องหมั่นดูแลและใส่ใจในการรับประทานอาหาร โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ตามใจปาก เพื่อเป็นการป้องกันและหลีกไกลจากโรคร้ายนี้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก "http://drinkingalkalinewater.com/"

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2562

โรคไตและการดูแลไต

โรคไตและการดูแลไต

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล

โรคไต เกิดมาจากระบบดูดซึมไม่ดี ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแล้วมันเข้าตัวไม่ได้ จะถูกส่งไปให้ตับขับทิ้ง ทำให้ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ
ลำไส้เล็กต้องดูดซึมกลุ่มอาหาร ที่จะไปสร้างกรดอะมิโน เพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก ได้แก่ วิตามิน ซี, บี 1, บี 3, บี 6

ลำไส้ใหญ่ต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร ที่จะไปสร้างเม็ดเลือดเพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามิน เอ, ซี, อี ถ้าลำไส้เล็กดูดซึมไม่หมด จะส่งไปให้ไต ไต มีหน้าที่กรองเลือดว่าเม็ดไหนหมดอายุแล้ว ก็กรองออกไป เม็ดเลือดที่ยังไม่หมดอายุก็ส่งคืนกลับไป และอื่นๆอีกมากมาย

ไตทำงานหนัก โดยไม่จำเป็นคือกินอาหารรสจัดกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
กินเนื้อสัตว์ และไม่มีวิตามิน ซี, บี 1, บี 3, บี 6 (ซึ่งหาได้จากน้ำกระชาย) มาช่วยแลกเปลี่ยนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้เป็นกรดอะมิโนถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย เกิดความกลัว ขี้ตกใจ ชอบข่มขู่คนอื่น ถ้าเป็นอย่างนี้ร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง ให้เป็นไขมันฝ่ายร้าย ถ้าอารมณ์ดีไม่เครียด มีจิตเมตตาก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี
" ถ้าดูแลปอดดี ไตก็จะแข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง กระดูกก็จะแข็งแรงด้วย "

วิธีดูแลไต

รู้ว่าเป็นโรคไตแล้ว ควรให้หมอรักษาดีที่สุด
งดอาหารผัดน้ำมัน

ล้างลำไส้หรือระบบดูดซึม ด้วยสูตร
-มะละกอดิบต้มน้ำ เอาน้ำมาชงชา (ดื่มกิน)
-โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว (ดื่มกิน
-ใช้เห็ดสามอย่างขึ้นไป นำมาปรุงอาหาร (ห้ามผัดน้ำมัน)

อาหารบำรุงไต เช่น น้ำกระชาย เม็ดบัว เห็ดหูหนูดำ ลูกเกด องุ่นดำ ถั่วดำ งาดำ ลูกแป๊ะก๊วย ผลไม้ชื่อลูกไข่เน่า กล้วยตาก ลูกสำรอง เฉาก๊วย แก้วมังกร ถั่วห้าสี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 "http://กินเพื่อสุขภาพ.blogspot.com/search/label/"


วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562

กินอะไรทำให้เม็ดเลือดขาวสมบูรณ์และแข็งแรง

กินอะไรทำให้เม็ดเลือดขาวสมบูรณ์และแข็งแรง

ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
คำถาม : อยากทราบว่าต้องกินผลไม้หรือน้ำผลไม้หรืออาหารหรือวิตามินอะไรถึงทำให้เม็ดเลือดขาวสมบูรณ์และแข็งแรงและเพิ่มขึ้น

คำตอบ: คงจะไม่พูดเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาว แต่จะพูดโดยรวมถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นองค์รวมมากกว่าเม็ดเลือดขาว
 เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา ทั้งเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคที่เรีย ป้องกันมะเร็ง เนื้องอก จนกระทั่ง

ถึงโรคเอดส์ ซึ่งการที่ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
ได้ ด่านแรกก็ได้มาจากอาหารที่กินอยู่ทุกวัน ซึ่งก็มีทั้งวิตะมิน แร่ธาตุ และสารสำคัญอื่นๆ

อาหารที่สำคัญๆ มีดังนี้

1.โยเกิร์ต - มีผลกระตุ้นการสร้าง gamma interferon
- กระตุ้นการทำงานของ NK cells
- เพิ่มการสร้าง antibodies
โดยมีงานวิจัยพบว่า
- โยเกิร์ตมีผลกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทาน ได้เทียบเท่ากับการใช้ยา Lavaesole
- การกินโยเกิร์ตวันละ 2 แก้ว นาน 1 เดือน จะทำให้ปริมาณ gamma interferon เพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินโยเกิร์ต
- ได้มีการทดลองในหนู พบว่า การกินโยเกิร์ตจะทำให้อัตราการเกิดมะเร็งลดลง 1 ใน 3 แม้ว่าเชื้อที่อยู่ในโยเกิร์ตจะถูกทำลายไปถึง 95% ก็ตาม ดังนั้นโยเกิร์ตทั้งชนิดที่เป็น heated yoghurt และ frozen yoghurt แม้ว่าเชื้อจะถูกทำลายไปส่วนใหญ่ ก็ยังมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- การกินโยเกิร์ตวันละ 6 ออนซ์ ก็เพียงพอต่อการป้องกันหวัด ภูมิแพ้ หรือ ท้องเสีย โดยควรกินโยเกิร์ต ชนิดที่ทำจากนมไขมันต่ำ ชนิดที่มี live active cultures ก็จะมีผลกระตุ้นการสร้าง interferon

2. เห็ด Shiitake (น่าจะเป็นเห็ดหอม? หรือ เห็นหลินจือ?)
มีส่วนประกอบของสาร lentinan ซึ่งมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้านไวรัส

3. กระเทียม มีผลกระตุ้นการทำงานของ macrophage ได้มีการเจาะเลือดผู้ที่กินกระเทียมเป็นประจำ พบว่ามีระดับ natural killer cells สูงขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าปกติ

4. ผักและผลไม้ทุกชนิด
- พบว่าเม็ดเลือดขาวของนักมังสวิรัติ มีความแข็งแรงมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมนักมังสวิรัติบางคน จึงไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บ
- ผักโขม แครอท kale ฟักทอง ที่อุดมไปด้วยเบต้าคาโรทีน จะมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
 โดยมีงานวิจัยพบว่า การกินเบต้าคาโรทีน วันละ 30-60 มิลลิกรัม ทุกวัน จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และเมื่อหยุดให้เบต้าคาโรทีน ระดับภูมิคุ้มกันก็ลดลงจนเหลือเท่ากับก่อนที่จะทำการวิจัย

5. แร่ธาตุสังกะสี
สังกะสี ซึ่งมีมากในหอยนางรม ช่วยในการสร้าง antibody, T-cells และอื่นๆ ซึ่งถ้าร่างกายขาดสังกะสี ภูมิคุ้มกันก็ไม่สามารถทำงานได้

6. จำกัดอาหารจำพวกไขมัน
ไขมันที่มากเกินพอจะกดการทำงานของ natural killer cells ไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์ หรือ น้ำมันพืชชนิด omega-6 เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย จะมีผลยับยั้งการสร้าง lymphocyte ทำให้การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันลดลง เนื่องจากไขมันชนิด omega-6 จะถูกทำลาย (oxidized) ได้ง่าย เกิดเป็นอนุมูลอิสระที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายในขณะที่ไขมันชนิด omega-3 เช่น fish oil, olive oil จะมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

เอกสารอ้างอิง:
Carper, J. Food Your Miracle Medicine. New York: Harper Paperbacks (June 1998): 327-325


ขอขอบคุณข้อมูลจาก "http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=333&gid=9
"

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!

กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!! ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคก...