วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
5 วิธีการรักษา "ริดสีดวงทวารหนัก"
การรักษาแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามความรุนแรงของโรค ซึ่งมีหลายวิธีดังนี้
1. การใช้ยาเหน็บทวาร ครีมทาทวาร และ รับประทานยาระบาย เพื่อลดการอักเสบและระคายเคือง
2. การฉีดยาเข้าไปที่หัวริดสีดวงทวารหรือใช้แถบยางรัดโคนหัวริดสีดวงทวาร เพื่อให้ฝ่อไป
3. การจี้หัวริดสีดวงทวารด้วยความร้อนหรือความเย็น
4. การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงทวารออก
หลังการรักษาอาการของโรคจะดีขึ้นหรือหายขาดได้ แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ไม่ถูกต้องก็อาจมีหัวริดสีดวงทวารเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นการปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
5.HAL-RAR นวัตกรรมแบบใหม่รักษาริดสีดวงทวารแบบไม่เจ็บ
ปัจจุบันมีวิธีการรักษา โรคริดสีดวงทวารหนักชนิดภายในด้วยนวัตกรรมใหม่ โดยการประยุกต์ใช้การตรวจ ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเข้ามาช่วย โดยการใช้หลักการตรวจหาตำแหน่งของเส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงหัวริดสีดวงทวารหนัก แล้วทำการเย็บผูกรัดหลอดเลือดแดง เพื่อลดความดันเลือดที่ไปขยายขนาดของหัวริดสีดวงทวารให้ลดลง ทำให้หัวริดสีดวงหดเล็กลง โดยไม่มีการตัดหัวริดสีดวงและเยื่อบุทวารหนักใดๆทั้งสิ้น หรือผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักระยะที่ 3 ที่หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักก็สามารถเย็บผูกรั้งดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ โดยไม่มีการตัดเนื้อเยื่อออก หัวริดสีดวงจะค่อยๆ ลดขนาดลงภายใน 3-4 สัปดาห์
นพ.ปิยะ โตเต็มโชคชัยการ
ศัลยแพทย์ทั่วไป
โรงพยาบาลเวชธานี
คลินิกศัลยกรรมทั่วไป
โทร. 02-734-0000 ต่อ 4500, 4501
1. การใช้ยาเหน็บทวาร ครีมทาทวาร และ รับประทานยาระบาย เพื่อลดการอักเสบและระคายเคือง
2. การฉีดยาเข้าไปที่หัวริดสีดวงทวารหรือใช้แถบยางรัดโคนหัวริดสีดวงทวาร เพื่อให้ฝ่อไป
3. การจี้หัวริดสีดวงทวารด้วยความร้อนหรือความเย็น
4. การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงทวารออก
หลังการรักษาอาการของโรคจะดีขึ้นหรือหายขาดได้ แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ไม่ถูกต้องก็อาจมีหัวริดสีดวงทวารเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นการปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
5.HAL-RAR นวัตกรรมแบบใหม่รักษาริดสีดวงทวารแบบไม่เจ็บ
ปัจจุบันมีวิธีการรักษา โรคริดสีดวงทวารหนักชนิดภายในด้วยนวัตกรรมใหม่ โดยการประยุกต์ใช้การตรวจ ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเข้ามาช่วย โดยการใช้หลักการตรวจหาตำแหน่งของเส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงหัวริดสีดวงทวารหนัก แล้วทำการเย็บผูกรัดหลอดเลือดแดง เพื่อลดความดันเลือดที่ไปขยายขนาดของหัวริดสีดวงทวารให้ลดลง ทำให้หัวริดสีดวงหดเล็กลง โดยไม่มีการตัดหัวริดสีดวงและเยื่อบุทวารหนักใดๆทั้งสิ้น หรือผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักระยะที่ 3 ที่หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักก็สามารถเย็บผูกรั้งดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ โดยไม่มีการตัดเนื้อเยื่อออก หัวริดสีดวงจะค่อยๆ ลดขนาดลงภายใน 3-4 สัปดาห์
นพ.ปิยะ โตเต็มโชคชัยการ
ศัลยแพทย์ทั่วไป
โรงพยาบาลเวชธานี
คลินิกศัลยกรรมทั่วไป
โทร. 02-734-0000 ต่อ 4500, 4501
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
เรื่องของจมูก-อัลไซเมอร์
Cr: Thunechai Spratte
ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ ให้คำแนะนำที่น่าสนใจ…สรุปสาระสำคัญมาได้ว่า
1. หากจมูกใคร…เริ่มไม่ได้กลิ่น …แม้ไม่เป็นหวัด …ให้รีบไปตรวจ… เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป…พึงทราบว่า…อัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว
2. เซลล์สมอง…พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ…หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ …การเลี้ยงดูเด็กทารก…จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก
3. ในอีกไม่กี่ปี … อัลไซเมอร์จะเป็นโรค…ที่คนแก่เป็นมากที่สุด …จะแซงหน้ามะเร็ง…อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม
4. อัลไซเมอร์ …นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว……ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ…และอารมณ์…ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
5. การอดนอนมีผลต่อความจำ สว.ควรนอนให้เพียงพอ…ถ้านอนน้อย…โอกาสอัลไซเมอร์มาอยู่ด้วยมีสูง…ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น. คือ ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก…สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง
6.อาหารของสมองมี 2 ชนิด…คือ กลูโคส และออกซิเจน…กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม. ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน ผู้สูงอายุปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120 ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ …ในทุกครั้งที่นึกได้ …จะช่วยเติมออกซิเจนและ…ไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก…สมองจะสดชื่น แจ่มใส…อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง
7. ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา…คนที่เป็นอัลไซเมอร์…มีเพียงวิธีป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์
7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง… ต้องรักษาเบาหวาน …ลดความดันโลหิต …และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ
7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ …ด้วยวิธีใดก็ได้ … สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ…และมีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ …เพื่อให้สมองได้ทำงาน ( แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน…ที่ไม่เคยทำ…และไม่ถนัดนะ …จะหมดตัวซะก่อน)
8. โกโก้ (ไม่ใช่ช๊อคโกแลต)…… เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ ……มีสารต้านอนุมูลอิสระ/สารลดอัตราการตายของเซลล์ /สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ ……มีงานศึกษาวิจัยประโยชน์ของโกโก้หลายผลงานวิจัย พบว่า การดื่มโกโก้…ในปริมาณมากพอ ……จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น(โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) คุณหมอ…แนะนำให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ …ควรเติมน้ำผึ้ง…เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น "Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away " โกโก้ รสชาติไม่อร่อย…แต่ มีคุณค่ามหาศาล……สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย……ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้ (จากผลวิจัยในต่างประเทศ……ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก)
ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ ให้คำแนะนำที่น่าสนใจ…สรุปสาระสำคัญมาได้ว่า
1. หากจมูกใคร…เริ่มไม่ได้กลิ่น …แม้ไม่เป็นหวัด …ให้รีบไปตรวจ… เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป…พึงทราบว่า…อัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว
2. เซลล์สมอง…พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ…หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ …การเลี้ยงดูเด็กทารก…จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก
3. ในอีกไม่กี่ปี … อัลไซเมอร์จะเป็นโรค…ที่คนแก่เป็นมากที่สุด …จะแซงหน้ามะเร็ง…อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม
4. อัลไซเมอร์ …นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว……ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ…และอารมณ์…ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
5. การอดนอนมีผลต่อความจำ สว.ควรนอนให้เพียงพอ…ถ้านอนน้อย…โอกาสอัลไซเมอร์มาอยู่ด้วยมีสูง…ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น. คือ ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก…สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง
6.อาหารของสมองมี 2 ชนิด…คือ กลูโคส และออกซิเจน…กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม. ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน ผู้สูงอายุปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120 ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ …ในทุกครั้งที่นึกได้ …จะช่วยเติมออกซิเจนและ…ไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก…สมองจะสดชื่น แจ่มใส…อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง
7. ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา…คนที่เป็นอัลไซเมอร์…มีเพียงวิธีป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์
7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง… ต้องรักษาเบาหวาน …ลดความดันโลหิต …และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ
7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ …ด้วยวิธีใดก็ได้ … สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ…และมีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ …เพื่อให้สมองได้ทำงาน ( แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน…ที่ไม่เคยทำ…และไม่ถนัดนะ …จะหมดตัวซะก่อน)
8. โกโก้ (ไม่ใช่ช๊อคโกแลต)…… เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ ……มีสารต้านอนุมูลอิสระ/สารลดอัตราการตายของเซลล์ /สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ ……มีงานศึกษาวิจัยประโยชน์ของโกโก้หลายผลงานวิจัย พบว่า การดื่มโกโก้…ในปริมาณมากพอ ……จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น(โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) คุณหมอ…แนะนำให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ …ควรเติมน้ำผึ้ง…เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น "Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away " โกโก้ รสชาติไม่อร่อย…แต่ มีคุณค่ามหาศาล……สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย……ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้ (จากผลวิจัยในต่างประเทศ……ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก)
วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
โรคอัลไซเมอร์-ขี้ลืมควรรู้ 4 อาหารบำรุงสมอง ไม่ต้องพึ่งวิตามินบำรุง
ขอบคุณข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์
เรียกได้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องอายุมากถึงคุณปู่คุณย่าแล้ว เราจะสังเกตุได้ว่าวัยรุ่นวัยทำงานบางคน ก็มีอาการหลงๆลืมๆกันแล้ว เพราะคนปัจจุบันนิยมรับประทานอาหารขยะ เลือกทานตามใจปากแต่ไม่นึกถึงโทษที่จะตามมา หรืออาหารนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์แก่ร่างกายของเราเลย
โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความเสื่อมที่รักษาไม่หาย การบำบัดและดูแลผู้ป่วยจึงนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะบทบาทของผู้ดูแลซึ่งมักจะเป็นคู่สมรสหรือญาติใกล้ชิด เป็นที่รับรู้ว่าโรคอัลไซเมอร์นั้นสร้างภาระให้แก่ผู้ดูแลอย่างมาก ทั้งในทางกายสังคม ทางจิต ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ในประเทศกำลังพัฒนาโรคนี้นับเป็นหนึ่งในโรคที่ก่อค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจต่อสังคมมากที่สุด น่ากลัวใช่มั้ยหละคะ ถ้าไม่อยากเป็นภาระให้คนที่เรารัก เราควรรักษาตัวเองรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย วันนี้เรานำ 4 อาหารบำรุงสมอง ไม่ต้องพึ่งวิตามินบำรุง มาฝากทุกคนกันค่ะ
1.ไข่จัดเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเพราะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญประกอบด้วย โปรตีนถึง 6.3 กรัม ไขมัน วิตามิน เอ บี ดี อี ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม สังกะสี ไอโอดีน ซิลิเนียม ทั้งนี้ในไข่แดงยังประกอบไปด้วยโคลีนซึ่งโคลีนเป็นส่วนประกอบในเลซิตินเป็นสารจำเป็นที่ร่างกายจะนำไปใช้เพื่อสร้างสารสื่อประสาท มีส่วนช่วยในกระบวนการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำงานด้านความจำ แต่ควรกินแต่พอดีนะคะ
2.พืชตระกูลถั่วถั่วจัดได้ว่าเป็นโปรตีนที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง อัลมอนด์ ฯลฯ ซึ่งในถั่วจะมีวิตามินอีที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ แต่ควรกินแต่พอประมาณนะคะ
3.ปลาเคยได้ยินใช่ไหมที่เขาว่ากินปลาแล้วจะฉลาด ซึ่งเนื้อปลาอุดมไปด้วยกรดอะมิโนไทโรซิน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ มีบทบาทในการกระตุ้นและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง สามารถช่วยฟื้นฟูความจำ และสารดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid ) คือกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย สารดังกล่าวนี้จะช่วย ในการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างความจำและการเรียนรู้ ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้อีกด้วย ซึ่งการรับประทานนื้อปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเลน้ำลึกหรือว่าปลาน้ำจืดสามารถนำมาประกอบอาหารด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพอย่าง การต้ม การย่าง การนึ่ง ได้หลากหลายเมนู ซึ่งปลาเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี อีกทั้งยังย่อยง่ายอีกด้วย
4. นมถั่วเหลืองนมถั่วเหลืองจัดเป็นเครื่องดื่มบำรุงสมองที่ดีไม่แพ้กัน ในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วย วิตามินเอ, บี, บี 1, บี 2, บี 6, บี 12 คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไนอาซิน และเลซิตินที่เป็นสารบำรุงสมอง เสริมสร้างประสิทธิภาพในเรื่องของความจำ ป้องกันความจำเสื่อม
เป็นยังไงกันบ้างหละคะเป็นอาหารที่ไม่ได้หายากหรือมีราคาแพงเลยใช่มั้ยคะ เราควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายที่แข็งแรง และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ งดอาหารขยะ หรือทานให้น้อยที่สุดเพื่องดการทำลายสุขภาพ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกนะคะ
เรียกได้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องอายุมากถึงคุณปู่คุณย่าแล้ว เราจะสังเกตุได้ว่าวัยรุ่นวัยทำงานบางคน ก็มีอาการหลงๆลืมๆกันแล้ว เพราะคนปัจจุบันนิยมรับประทานอาหารขยะ เลือกทานตามใจปากแต่ไม่นึกถึงโทษที่จะตามมา หรืออาหารนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์แก่ร่างกายของเราเลย
โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความเสื่อมที่รักษาไม่หาย การบำบัดและดูแลผู้ป่วยจึงนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะบทบาทของผู้ดูแลซึ่งมักจะเป็นคู่สมรสหรือญาติใกล้ชิด เป็นที่รับรู้ว่าโรคอัลไซเมอร์นั้นสร้างภาระให้แก่ผู้ดูแลอย่างมาก ทั้งในทางกายสังคม ทางจิต ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ในประเทศกำลังพัฒนาโรคนี้นับเป็นหนึ่งในโรคที่ก่อค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจต่อสังคมมากที่สุด น่ากลัวใช่มั้ยหละคะ ถ้าไม่อยากเป็นภาระให้คนที่เรารัก เราควรรักษาตัวเองรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย วันนี้เรานำ 4 อาหารบำรุงสมอง ไม่ต้องพึ่งวิตามินบำรุง มาฝากทุกคนกันค่ะ
1.ไข่จัดเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเพราะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญประกอบด้วย โปรตีนถึง 6.3 กรัม ไขมัน วิตามิน เอ บี ดี อี ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม สังกะสี ไอโอดีน ซิลิเนียม ทั้งนี้ในไข่แดงยังประกอบไปด้วยโคลีนซึ่งโคลีนเป็นส่วนประกอบในเลซิตินเป็นสารจำเป็นที่ร่างกายจะนำไปใช้เพื่อสร้างสารสื่อประสาท มีส่วนช่วยในกระบวนการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำงานด้านความจำ แต่ควรกินแต่พอดีนะคะ
2.พืชตระกูลถั่วถั่วจัดได้ว่าเป็นโปรตีนที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง อัลมอนด์ ฯลฯ ซึ่งในถั่วจะมีวิตามินอีที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ แต่ควรกินแต่พอประมาณนะคะ
3.ปลาเคยได้ยินใช่ไหมที่เขาว่ากินปลาแล้วจะฉลาด ซึ่งเนื้อปลาอุดมไปด้วยกรดอะมิโนไทโรซิน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ มีบทบาทในการกระตุ้นและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง สามารถช่วยฟื้นฟูความจำ และสารดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid ) คือกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย สารดังกล่าวนี้จะช่วย ในการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างความจำและการเรียนรู้ ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้อีกด้วย ซึ่งการรับประทานนื้อปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเลน้ำลึกหรือว่าปลาน้ำจืดสามารถนำมาประกอบอาหารด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพอย่าง การต้ม การย่าง การนึ่ง ได้หลากหลายเมนู ซึ่งปลาเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี อีกทั้งยังย่อยง่ายอีกด้วย
4. นมถั่วเหลืองนมถั่วเหลืองจัดเป็นเครื่องดื่มบำรุงสมองที่ดีไม่แพ้กัน ในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วย วิตามินเอ, บี, บี 1, บี 2, บี 6, บี 12 คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไนอาซิน และเลซิตินที่เป็นสารบำรุงสมอง เสริมสร้างประสิทธิภาพในเรื่องของความจำ ป้องกันความจำเสื่อม
เป็นยังไงกันบ้างหละคะเป็นอาหารที่ไม่ได้หายากหรือมีราคาแพงเลยใช่มั้ยคะ เราควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายที่แข็งแรง และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ งดอาหารขยะ หรือทานให้น้อยที่สุดเพื่องดการทำลายสุขภาพ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกนะคะ
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ผู้ป่วย 4 โรค ห้ามกินผักเหล่านี้
ขอบพระคุณข้อมูล จาก NAVA DIY
ห้ามกินเด็ดขาด!! อย.ย้ำเตือน ผักที่ ผู้ป่วย "4 โรค" ไม่ควรกิน อาจเป็นโทษ
สำหรับบางคนแล้วผักผลไม้ที่รับประทานเข้าไปก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่
1.ผู้ป่วยโรคไต
2. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย
3. ผู้ป่วยโรคไทรอยด์
4. ผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้
ห้ามกินเด็ดขาด!! อย.ย้ำเตือน ผักที่ ผู้ป่วย "4 โรค" ไม่ควรกิน อาจเป็นโทษ
สำหรับบางคนแล้วผักผลไม้ที่รับประทานเข้าไปก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่
1.ผู้ป่วยโรคไต
2. ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย
3. ผู้ป่วยโรคไทรอยด์
4. ผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ชดเชยแคลเซียมด้วยการเดิน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
- รู้งี้ แต่ละวันจะเดินให้มากขึ้น ก่อนที่จะใช้ขาตัวเองเดินไม่ได้
ชดเชยแคลเซียมด้วยการเดิน จะได้ ปย.มากกว่าการกินแคลเซี่ยม
กระดูกจะพรุนหรือไม่พรุน อยู่ที่การเดิน มากกว่าการกินแคลเซี่ยม และต้องเดินเยอะๆ ตั้งแต่เด็กๆ จะสะสมความแข็งแรงของกระดูกเหมือนคนญี่ปุ่น
นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาล 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้เขียนหนังสือซึ่งเป็นผลงานระดับ Best sellerในญี่ปุ่นมาหลายเล่ม
และหนึ่งในนั้น มีบทหนึ่งที่ชื่อว่า “มาชดเชยแคลเซียมด้วยการเดินกันเถอะ” ซึ่งเหมาะกับผู้สูงวัย อยากขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้
คุณหมอแนะนำว่า "ถ้าอยากทำให้กระดูกแข็งแรง ต้องเดินให้มากเป็นสองเท่าของคนทั่วไป เพราะแรงโน้มถ่วง จะทำให้กระดูกเพิ่มปริมาณแคลเซียมในกระดูกได้ตามธรรมชาติ"
ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีการพูดกันโดยทั่วไปว่า แคลเซียมจะลดน้อยลงตามอายุล่ะ?? คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า
"แต่เดิม กระดูกเป็นเหมือนธนาคาร ซึ่งเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ เมื่อแคลเซียมในเลือดลดลง ก็จะนำแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน และเมื่อผู้สูงวัยมีการเดินที่ไม่เพียงพอ กระดูกก็จะค่อยๆเปราะบางลง
- ถึงแม้จะกินแคลเซียมมากเพียงใด ก็ไม่มีผลช่วยอะไรมากนัก เพราะปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ "ปริมาณการออกกำลังกาย" ที่ผู้สูงวัยมีลดน้อยลง ซึ่งบางรายในแต่ละวัน แทบไม่ได้มีการขยับตัวเลยนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงอีกด้วย เพราะเดิมทีฮอร์โมนเพศ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเพศชาย ต่างก็มี “ฤทธิ์เสริมสร้าง” ทำให้กระดูกแข็งแรงและกล้ามเนื้อบึกบึน
สำหรับผู้ชายนั้น ถึงแม้จะใกล้วัย 80 ปี แต่ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตออกมา ก็ไม่น้อยไปกว่าช่วงวัยรุ่น ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิง จะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และจะหยุดผลิตเมื่อหมดประจำเดือนตอนอายุประมาณ 50 ปี
แน่นอนว่า...หากไม่มีฮอร์โมนเพศ ก็จะไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมชาติจึงจำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนทดแทนขึ้นมา ชื่อว่า “แอนโดรเจน (Androgen)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อชดเชยฮอร์โมนเพศหญิงในส่วนที่ขาด แต่แอนโดรเจนก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ กระดูกจึงไม่สามารถรักษาแคลเซียมเอาไว้ได้
นอกจากนั้น พวกเราผู้สูงวัย ยังมีแนวโน้มที่จะเดินน้อยลงเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งทำให้ขาดแคลเซียมมากขึ้นไปอีก ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวเข่า และ ปวดสะโพก พอปวดแล้วก็จะยิ่งเดินน้อยลงไปอีก จนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็น ซึ่งจะยิ่งเข้าสู่วงจรแย่ๆ ที่ทำให้เพื่อนๆยิ่งมีกระดูกอ่อนแอลงไปจนเกินแก้ไขเดินด้วยขาตนเองไม่ได้
ในทางกลับกัน ต่อให้เป็นวัยหนุ่มสาว หากนั่งทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ วันๆแทบไม่มีการขยับตัว แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาใช้ขาอย่างหักโหมในการไปท่องเที่ยวทันที ก็จะมีอาการปวดข้อปวดเข่า เพราะร่างกายไม่เคยชิน ดังนั้น เราจึงควรฝึกนิสัยรักการเดินให้เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ
คุณหมอโยะชิโนะริ นะงุโมะ มีอายุถึง 60 ปีแล้ว แต่อายุกระดูกที่ตรวจวัดได้ ยังมีอายุเพียงแค่ 28 ปี ซึ่งอ่อนกว่าอายุจริงกว่า 30 ปี นั่นเป็นเพราะคุณหมอรักการเดินเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณหมอบอกว่า การเดินน้อยในวัยเด็กที่สะสมมา จะมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความรุนแรงของโรคกระดูกพรุน เมื่ออายุมากขึ้น
ดังนั้น พ่อแม่ที่โอ๋ลูกมาก ไม่ยอมให้ลูกได้เดินไกล เพราะกลัวลูกเหนื่อย หรือกลัวลูกลำบาก ควรจะรีบเปลี่ยนความคิดใหม่ อย่าได้ทำร้ายสุขภาพของลูกในระยะยาว ที่จะเดินด้วยขาตัวเองไม่ได้ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น เเละคุณหมอบอกว่า
" พ่อแม่ชาวญี่ปุ่น จะฝึกให้ลูกเดินเยอะๆ ถ้าบ้านและโรงเรียนไม่ไกลจากกันมากนัก ก็จะใช้วิธีเดินไปกลับ แทนการนั่งรถไฟฟ้า หรือ ถ้าขึ้นรถไฟฟ้า ก็จะพยายามให้เด็กๆได้ยืน เพื่อฝึกกำลังขาและสะโพก เพราะการฝึกขาและสะโพกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแรงของกระดูกไปตลอดชีวิต"
- รู้งี้ แต่ละวันจะเดินให้มากขึ้น ก่อนที่จะใช้ขาตัวเองเดินไม่ได้
ชดเชยแคลเซียมด้วยการเดิน จะได้ ปย.มากกว่าการกินแคลเซี่ยม
กระดูกจะพรุนหรือไม่พรุน อยู่ที่การเดิน มากกว่าการกินแคลเซี่ยม และต้องเดินเยอะๆ ตั้งแต่เด็กๆ จะสะสมความแข็งแรงของกระดูกเหมือนคนญี่ปุ่น
นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาล 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้เขียนหนังสือซึ่งเป็นผลงานระดับ Best sellerในญี่ปุ่นมาหลายเล่ม
และหนึ่งในนั้น มีบทหนึ่งที่ชื่อว่า “มาชดเชยแคลเซียมด้วยการเดินกันเถอะ” ซึ่งเหมาะกับผู้สูงวัย อยากขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้
คุณหมอแนะนำว่า "ถ้าอยากทำให้กระดูกแข็งแรง ต้องเดินให้มากเป็นสองเท่าของคนทั่วไป เพราะแรงโน้มถ่วง จะทำให้กระดูกเพิ่มปริมาณแคลเซียมในกระดูกได้ตามธรรมชาติ"
ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีการพูดกันโดยทั่วไปว่า แคลเซียมจะลดน้อยลงตามอายุล่ะ?? คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า
"แต่เดิม กระดูกเป็นเหมือนธนาคาร ซึ่งเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ เมื่อแคลเซียมในเลือดลดลง ก็จะนำแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน และเมื่อผู้สูงวัยมีการเดินที่ไม่เพียงพอ กระดูกก็จะค่อยๆเปราะบางลง
- ถึงแม้จะกินแคลเซียมมากเพียงใด ก็ไม่มีผลช่วยอะไรมากนัก เพราะปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ "ปริมาณการออกกำลังกาย" ที่ผู้สูงวัยมีลดน้อยลง ซึ่งบางรายในแต่ละวัน แทบไม่ได้มีการขยับตัวเลยนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงอีกด้วย เพราะเดิมทีฮอร์โมนเพศ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเพศชาย ต่างก็มี “ฤทธิ์เสริมสร้าง” ทำให้กระดูกแข็งแรงและกล้ามเนื้อบึกบึน
สำหรับผู้ชายนั้น ถึงแม้จะใกล้วัย 80 ปี แต่ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตออกมา ก็ไม่น้อยไปกว่าช่วงวัยรุ่น ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิง จะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และจะหยุดผลิตเมื่อหมดประจำเดือนตอนอายุประมาณ 50 ปี
แน่นอนว่า...หากไม่มีฮอร์โมนเพศ ก็จะไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมชาติจึงจำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนทดแทนขึ้นมา ชื่อว่า “แอนโดรเจน (Androgen)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อชดเชยฮอร์โมนเพศหญิงในส่วนที่ขาด แต่แอนโดรเจนก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ กระดูกจึงไม่สามารถรักษาแคลเซียมเอาไว้ได้
นอกจากนั้น พวกเราผู้สูงวัย ยังมีแนวโน้มที่จะเดินน้อยลงเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งทำให้ขาดแคลเซียมมากขึ้นไปอีก ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวเข่า และ ปวดสะโพก พอปวดแล้วก็จะยิ่งเดินน้อยลงไปอีก จนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็น ซึ่งจะยิ่งเข้าสู่วงจรแย่ๆ ที่ทำให้เพื่อนๆยิ่งมีกระดูกอ่อนแอลงไปจนเกินแก้ไขเดินด้วยขาตนเองไม่ได้
ในทางกลับกัน ต่อให้เป็นวัยหนุ่มสาว หากนั่งทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ วันๆแทบไม่มีการขยับตัว แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาใช้ขาอย่างหักโหมในการไปท่องเที่ยวทันที ก็จะมีอาการปวดข้อปวดเข่า เพราะร่างกายไม่เคยชิน ดังนั้น เราจึงควรฝึกนิสัยรักการเดินให้เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ
คุณหมอโยะชิโนะริ นะงุโมะ มีอายุถึง 60 ปีแล้ว แต่อายุกระดูกที่ตรวจวัดได้ ยังมีอายุเพียงแค่ 28 ปี ซึ่งอ่อนกว่าอายุจริงกว่า 30 ปี นั่นเป็นเพราะคุณหมอรักการเดินเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณหมอบอกว่า การเดินน้อยในวัยเด็กที่สะสมมา จะมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความรุนแรงของโรคกระดูกพรุน เมื่ออายุมากขึ้น
ดังนั้น พ่อแม่ที่โอ๋ลูกมาก ไม่ยอมให้ลูกได้เดินไกล เพราะกลัวลูกเหนื่อย หรือกลัวลูกลำบาก ควรจะรีบเปลี่ยนความคิดใหม่ อย่าได้ทำร้ายสุขภาพของลูกในระยะยาว ที่จะเดินด้วยขาตัวเองไม่ได้ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น เเละคุณหมอบอกว่า
" พ่อแม่ชาวญี่ปุ่น จะฝึกให้ลูกเดินเยอะๆ ถ้าบ้านและโรงเรียนไม่ไกลจากกันมากนัก ก็จะใช้วิธีเดินไปกลับ แทนการนั่งรถไฟฟ้า หรือ ถ้าขึ้นรถไฟฟ้า ก็จะพยายามให้เด็กๆได้ยืน เพื่อฝึกกำลังขาและสะโพก เพราะการฝึกขาและสะโพกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแรงของกระดูกไปตลอดชีวิต"
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ถ้าร่างกายมี 6 อาการนี้ ควรดื่มน้ำให้มากๆ
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
สังเกตุตัวเองด่วน!! ถ้าร่างกายมี 6 อาการนี้ ควรดื่มน้ำให้มากๆ
ควรจะดื่มน้ำวันละ 8-9 แก้วต่อวัน แต่หากใน 1 วันร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะเกิด 6 อาการดังต่อไปนี้
1. สุขภาพแย่ลง การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยในการป้องกันการเกิดนิ่วในไต, โรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ แล้วยังช่วยป้องกันคุณจากโรคหัวใจได้ด้วย
2. การเผาผลาญช้าลง การเผาผลาญในร่างกายของมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หากคุณดื่มน้ำมากขึ้นร่างกายก็จะเกิดการเผาผลาญที่เร็วขึ้นตามไปด้วย
3. ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นขณะทำงาน การที่สมองนั้นขาดน้ำจะทำให้คุณนั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพที่น้อยลง ดังนั้นคุณต้องใช้เวลามากขึ้นและและใช้ความพยายามในการทำงานให้เสร็จมากขึ้น ไปอีก
4. เกิดอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น คนที่ดื่มน้ำในปริมาณ 2 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะมีปริมาณแคลอรี่น้อยลง 75-90 ในเวลา 3 เดือนน้ำหนักจะลดลง 2.5 กิโลกรัม
5. ผิวเหี่ยวย่นและดูแก่กว่าวัย น้ำจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความสดใสให้กับผิวของคุณได้
6. มีความรู้สึกหดหู่และเศร้า พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและสับสนหรือความโกรธ ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่มักจะดื่มน้ำเป็นประจำ
สังเกตุตัวเองด่วน!! ถ้าร่างกายมี 6 อาการนี้ ควรดื่มน้ำให้มากๆ
ควรจะดื่มน้ำวันละ 8-9 แก้วต่อวัน แต่หากใน 1 วันร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะเกิด 6 อาการดังต่อไปนี้
1. สุขภาพแย่ลง การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยในการป้องกันการเกิดนิ่วในไต, โรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ แล้วยังช่วยป้องกันคุณจากโรคหัวใจได้ด้วย
2. การเผาผลาญช้าลง การเผาผลาญในร่างกายของมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หากคุณดื่มน้ำมากขึ้นร่างกายก็จะเกิดการเผาผลาญที่เร็วขึ้นตามไปด้วย
3. ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นขณะทำงาน การที่สมองนั้นขาดน้ำจะทำให้คุณนั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพที่น้อยลง ดังนั้นคุณต้องใช้เวลามากขึ้นและและใช้ความพยายามในการทำงานให้เสร็จมากขึ้น ไปอีก
4. เกิดอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น คนที่ดื่มน้ำในปริมาณ 2 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะมีปริมาณแคลอรี่น้อยลง 75-90 ในเวลา 3 เดือนน้ำหนักจะลดลง 2.5 กิโลกรัม
5. ผิวเหี่ยวย่นและดูแก่กว่าวัย น้ำจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความสดใสให้กับผิวของคุณได้
6. มีความรู้สึกหดหู่และเศร้า พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและสับสนหรือความโกรธ ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่มักจะดื่มน้ำเป็นประจำ
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ปัสสาวะกับภาวะหัวใจอุดตัน
ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล
เรืองตื่นมาฉี่กลางคืน ไม่นึกว่าจะซับซ้อนขนาดนี้
“ปัสสาวะกับภาวะหัวใจอุดตัน”
อยากให้ สละเวลาซัก 2 นาที เพื่ออ่านบทความ อันมีค่านี้
แพทย์ชาวอเมริกันได้กล่าวถึง ปัญหาความเกี่ยวเนื่อง ระหว่าง การปัสสาวะ ตอนกลางคืน กับ ภาวะการอุดตัน ของหัวใจและ สมอง
วันนี้เอาความรู้ที่สำคัญที่ พวกเราต้องระวังมาเล่าสู่กันฟัง
คนแก่มักมีปัญหาของ การปัสสาวะตอนกลางคืน ทำให้ไม่ยอมดื่มน้ำก่อนนอน และไม่ยอมดื่มน้ำ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาปัสสาวะ กลางดึก แต่นี่ กลับกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิด ภาวะสมองอุดตัน ในยามเช้าของ คนแก่ได้
จริงๆแล้ว ภาวะการปัสสาวะ สองครั้งในเวลาคืน ไม่ใช่ปัญหาการเสื่อม สมรรถนะของกระเพาะ ปัสสาวะ
ที่ปัสสาวะตอนกลางคืน ก็เพราะคนแก่มีประสิทธิภาพ ของหัวใจที่เสื่อมถอย หัวใจห้องขวา สูบโลหิตจากร่างกาย ช่วงล่างเข้าหัวใจ อ่อนแรงลง....
อิริยาบถของคนเราที่ทำงาน ในเวลากลางวัน ทำให้ เลือดไหลลงสู่ด้านล่างของ ร่างกายได้ง่าย และคน ที่หัวใจไม่ปกติ หัวใจไม่ค่อยมีแรง ที่จะสูบเลือดให้กลับขึ้น สู่หัวใจ แรงโน้มถ่วง เป็นแรงกดที่จะทำให้ ช่วงล่างของคนแก่เหล่านี้ มีลักษณะบวมน้ำ พอตกกลางคืน เวลานอนราบ ร่างกายช่วงล่าง มีแรงกดน้อยลง น้ำที่สะสมอยู่ ในร่างกายช่วงล่าง ก็จะซึมกลับ เข้าสู่กระแสเลือด
เวลาน้ำในร่างกายมากเกินไป ไตก็จะเริ่ม ขับน้ำออก ทำให้ กระเพาะปัสสาวะ กระตุ้น เรา ให้ตื่นขึ้นมา ปัสสาวะในเวลากลางคืน
ดังนั้นหลังจากนอนราบ ได้ 3-4 ชั่วโมง ก็ต้องตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำครั้งหนึ่ง แต่น้ำในเลือดที่ยังไม่หมด ยังคงสะสมมากขึ้น เรื่อยๆ ทำให้ผ่านไปอีก 3 ชั่วโมง ก็ต้องลุกขึ้นมา เข้าห้องน้ำเป็นครั้งที่ 2 ...แล้วทำไมจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้สมองอุดตัน หรือหัวใจอุดตันล่ะ
ก็เพราะว่าหลังจากถ่าย ปัสสาวะไป 2-3 ครั้ง ระดับน้ำในเลือดมีปริมาณน้อยลงมาก ในฤดูหนาว อากาศที่แห้ง จะดูดความชื้น จากลมหายใจของเรา ด้วย ทำให้เลือด เริ่มกลายสภาพหนืดข้น ขึ้น อีกทั้งเวลานอน ร่างกายมี activity ต่ำ และหัวใจ เต้นช้าลง ทำให้เลือด ที่หนืดข้นเกิดการอุดตันได้ง่าย นี่คือ สาเหตุสำคัญที่ว่า ทำไมคนแก่ส่วนใหญ่ มักจะเกิดปัญหา หัวใจอุดตัน หรือ สมองอุดตัน ในเวลาตี 5 หรือ 6 โมงเช้า และทำให้ เกิดภาวะการตายในขณะนอนหลับ
เรื่องแรกที่จะบอกทุกท่านก็คือ การปัสสาวะ ตอนกลางคืน ไม่ใช่ความบกพร่อง ของ กระเพาะปัสสาวะ หรือ ปัญหา ของหัวใจอ่อนแรง
เรื่องที่ 2 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ก่อนนอนจะต้องดื่มน้ำอุ่น และ หลัง ลุกขึ้นมาปัสสาวะ ในตอนกลางคืนแล้ว ก็ควรดื่มน้ำอุ่นอีก อย่ากลัว การปัสสาวะ ในเวลากลางคืน เพราะ การไม่ดื่มน้ำ จะทำให้ เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องที่ 3 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ในเวลาปกติควรฝึกออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง ร่างกายคนเราไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องจักรใช้บ่อยๆ จะสึกหรอได้ แต่ร่างกาย กลับตรงกันข้าม ถ้าฝึกบ่อยๆจะแข็งแรงขึ้น
ในเวลาปกติ จะต้องไม่กินอาหารที่ทำให้เสียสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง และอาหารที่ทอด ด้วยน้ำมัน
ถ้าคุณชอบบทความนี้ กรุณาส่งต่อให้เพื่อนสูงอายุที่คุณรัก
นำเสนอโดย หัวหน้าพยาบาลเกษียณ (l)(o)(v)(e) (u): (love).
เรืองตื่นมาฉี่กลางคืน ไม่นึกว่าจะซับซ้อนขนาดนี้
“ปัสสาวะกับภาวะหัวใจอุดตัน”
อยากให้ สละเวลาซัก 2 นาที เพื่ออ่านบทความ อันมีค่านี้
แพทย์ชาวอเมริกันได้กล่าวถึง ปัญหาความเกี่ยวเนื่อง ระหว่าง การปัสสาวะ ตอนกลางคืน กับ ภาวะการอุดตัน ของหัวใจและ สมอง
วันนี้เอาความรู้ที่สำคัญที่ พวกเราต้องระวังมาเล่าสู่กันฟัง
คนแก่มักมีปัญหาของ การปัสสาวะตอนกลางคืน ทำให้ไม่ยอมดื่มน้ำก่อนนอน และไม่ยอมดื่มน้ำ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาปัสสาวะ กลางดึก แต่นี่ กลับกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิด ภาวะสมองอุดตัน ในยามเช้าของ คนแก่ได้
จริงๆแล้ว ภาวะการปัสสาวะ สองครั้งในเวลาคืน ไม่ใช่ปัญหาการเสื่อม สมรรถนะของกระเพาะ ปัสสาวะ
ที่ปัสสาวะตอนกลางคืน ก็เพราะคนแก่มีประสิทธิภาพ ของหัวใจที่เสื่อมถอย หัวใจห้องขวา สูบโลหิตจากร่างกาย ช่วงล่างเข้าหัวใจ อ่อนแรงลง....
อิริยาบถของคนเราที่ทำงาน ในเวลากลางวัน ทำให้ เลือดไหลลงสู่ด้านล่างของ ร่างกายได้ง่าย และคน ที่หัวใจไม่ปกติ หัวใจไม่ค่อยมีแรง ที่จะสูบเลือดให้กลับขึ้น สู่หัวใจ แรงโน้มถ่วง เป็นแรงกดที่จะทำให้ ช่วงล่างของคนแก่เหล่านี้ มีลักษณะบวมน้ำ พอตกกลางคืน เวลานอนราบ ร่างกายช่วงล่าง มีแรงกดน้อยลง น้ำที่สะสมอยู่ ในร่างกายช่วงล่าง ก็จะซึมกลับ เข้าสู่กระแสเลือด
เวลาน้ำในร่างกายมากเกินไป ไตก็จะเริ่ม ขับน้ำออก ทำให้ กระเพาะปัสสาวะ กระตุ้น เรา ให้ตื่นขึ้นมา ปัสสาวะในเวลากลางคืน
ดังนั้นหลังจากนอนราบ ได้ 3-4 ชั่วโมง ก็ต้องตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำครั้งหนึ่ง แต่น้ำในเลือดที่ยังไม่หมด ยังคงสะสมมากขึ้น เรื่อยๆ ทำให้ผ่านไปอีก 3 ชั่วโมง ก็ต้องลุกขึ้นมา เข้าห้องน้ำเป็นครั้งที่ 2 ...แล้วทำไมจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้สมองอุดตัน หรือหัวใจอุดตันล่ะ
ก็เพราะว่าหลังจากถ่าย ปัสสาวะไป 2-3 ครั้ง ระดับน้ำในเลือดมีปริมาณน้อยลงมาก ในฤดูหนาว อากาศที่แห้ง จะดูดความชื้น จากลมหายใจของเรา ด้วย ทำให้เลือด เริ่มกลายสภาพหนืดข้น ขึ้น อีกทั้งเวลานอน ร่างกายมี activity ต่ำ และหัวใจ เต้นช้าลง ทำให้เลือด ที่หนืดข้นเกิดการอุดตันได้ง่าย นี่คือ สาเหตุสำคัญที่ว่า ทำไมคนแก่ส่วนใหญ่ มักจะเกิดปัญหา หัวใจอุดตัน หรือ สมองอุดตัน ในเวลาตี 5 หรือ 6 โมงเช้า และทำให้ เกิดภาวะการตายในขณะนอนหลับ
เรื่องแรกที่จะบอกทุกท่านก็คือ การปัสสาวะ ตอนกลางคืน ไม่ใช่ความบกพร่อง ของ กระเพาะปัสสาวะ หรือ ปัญหา ของหัวใจอ่อนแรง
เรื่องที่ 2 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ก่อนนอนจะต้องดื่มน้ำอุ่น และ หลัง ลุกขึ้นมาปัสสาวะ ในตอนกลางคืนแล้ว ก็ควรดื่มน้ำอุ่นอีก อย่ากลัว การปัสสาวะ ในเวลากลางคืน เพราะ การไม่ดื่มน้ำ จะทำให้ เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องที่ 3 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ในเวลาปกติควรฝึกออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง ร่างกายคนเราไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องจักรใช้บ่อยๆ จะสึกหรอได้ แต่ร่างกาย กลับตรงกันข้าม ถ้าฝึกบ่อยๆจะแข็งแรงขึ้น
ในเวลาปกติ จะต้องไม่กินอาหารที่ทำให้เสียสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง และอาหารที่ทอด ด้วยน้ำมัน
ถ้าคุณชอบบทความนี้ กรุณาส่งต่อให้เพื่อนสูงอายุที่คุณรัก
นำเสนอโดย หัวหน้าพยาบาลเกษียณ (l)(o)(v)(e) (u): (love).
วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
พิชิตโรคร้าย เบาหวาน ความดัน (NCDs) ภายใน 4 เดือน โดยไม่ใช้ยา
ขอบพระคุณ คุณ Pipat Chanpong ,รายการบ่ายนี้มีคำตอบ MCOT HD ช่อง 30
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
เตือนอันตราย "น้ำมะพร้าว" มากประโยชน์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโทษ ผู้ป่วย 2 โรคต้องเลี่ยง
ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : postsod , health.kapook
สืบเนื่องจากหลายบคนอาจจะทราบกันดีว่าน้ำมะพร้าวน้ัน เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นใช่ว่าจะมีแต่ประโยชน์เพราะน้ำมะพร้าวนั้นก็มีโทษสำหรับผู้ป่วยบางโรค และส่วนคนที่ทานแล้วจะเกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับการดื่มมะพร้าวนั้นก็แบ่งออกไปได้จำนวน 5 กลุ่มได้แก่
1. นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกรือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที นัก กีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อยจนล้า จะสดใสขึ้นทันตาเห็น
2. คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายจะต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย
3. วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำจะทำให้ควมจำดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้เด็ดนัก
4. คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆก็เพราะเลือดน้อยแต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุง และเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็น ปกติ
5. คนเป็นไข้หวัดตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบ เพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ได้ดี และยังมีกรดลอริกที่เป็นยาฆ่าเชื้อ ดื่มแล้ว อาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น
ส่วนผู้ป่วยสองโรคควรเลี่ยงได้แก่
1.คนเป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะให้ดีคนที่เป็นโรคนี้ควรระวัง
2.คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจเราได้ สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ควรลีกเหลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว
โดยประโยชน์ของน้ำมะพร้าวจะมีดังนี้
1. ดับกระหาย คลายร้อน
อากาศร้อน ๆ ทำให้เรารู้สึกกระหายน้ำได้ง่าย ๆ และน้ำมะพร้าวอ่อนก็เป็นตัวช่วยดับกระหายคลายร้อนที่ดีค่ะ เพราะมะพร้าวอ่อนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น อีกทั้งยังมีกลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายจะสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ดังนั้นจึงต้องไม่แปลกใจหากดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปแล้วจะรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวยทันตาเห็น
2. เป็นเกลือแร่จากธรรมชาติ
รู้ไหมว่าเราสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแทนเครื่องดื่มเกลือแร่หลังจากออกกำลังกายหรือท้องเสียได้ด้วยนะคะ เพราะในน้ำมะพร้าวมีโพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ซึ่งเป็นสารอาหารชนิดเดียวกับในเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่เด็ดกว่าตรงที่เป็นเกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ จึงช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และลดอาการขาดน้ำได้ดีทีเดียว
3. เพิ่มน้ำในคนที่มีภาวะขาดน้ำ
ในมะพร้าวอ่อนมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่สูงมาก ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราแค่ไหน ฉะนั้นหากรู้สึกขาดน้ำ เราขอแนะนำมะพร้าวอ่อนทั้งน้ำและเนื้อ ให้เป็นอีกทางเลือกช่วยเพิ่มน้ำแก่ร่างกาย
4. ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะทำงานดีขึ้น
การดื่มน้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นไปอย่างปกติ ซึ่งก็จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะของเราได้ขับสารพิษและแบคทีเรียที่อาจตกค้างอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ในระบบขับถ่ายปัสสาวะลงได้
5. บำรุงผิว ชะลอริ้วรอย
ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ผิวพรรณของเราสดใส ไม่แห้งกร้าน แล้วถ้าเป็นน้ำมะพร้าวล่ะ จะดีกับผิวพรรณของเราขนาดไหน เพราะรู้ไหมคะว่าน้ำมะพร้าวเป็นแหล่งของสารอาหารมากมาย ทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินซีที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยสมานแผล และช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง
6. บำรุงกระดูก
แม้ปริมาณแคลเซียมในมะพร้าวอ่อนจะไม่ได้สูงมาก แต่มะพร้าวอ่อนมีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมให้เข้าสู่กระดูกได้อย่างเต็มที่ ทำให้กระดูกของเราแข็งแรงขึ้นได้ค่ะ ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยทดลองให้หนูเพศผู้ทานน้ำมะพร้าวอ่อน ก่อนที่จะพบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนมีผลต่อการเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อนและกระดูกฟองน้ำของขากรรไกรล่าง ดังนั้นจึงกำลังทำการศึกษาต่อไปว่าน้ำมะพร้าวอ่อนน่าจะมีประโยชน์ในการชะลอภาวะกระดูกพรุนในชายวัยหมดฮอร์โมน
7. ปรับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
รู้ไหมคะ ว่าการทานมะพร้าวช่วยปรับฮอร์โมนของสตรีวัยหมดประจำเดือน และชายวัยทองให้ดีขึ้นได้ โดยมีงานวิจัยพบว่าฮอร์โมนพืชหลาย ๆ ตัวในมะพร้าวอ่อน มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ทำให้ผิวพรรณสดใส ชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงอาการอัลไซเมอร์ และช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย เนื่องจากน้ำมะพร้าวอ่อนมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของเซลล์ในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง
8. เป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่น
แม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะไม่ดีต่อร่างกายเรา เพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย แต่ถึงยังไงร่างกายเราก็ยังต้องการไขมันอิ่มตัวบ้างอยู่ดีนะคะ โดยทานให้สมดุลกับไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ด้วย เพื่อช่วยละลายวิตามินเอ ดี อี เค ที่จะละลายได้ในไขมันเท่านั้น
สำหรับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นเครื่องดื่มที่มีไขมันน้อยมาก ทว่าในเนื้อมะพร้าวอ่อนจะมีไขมันค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ไขมันอิ่มตัวในเนื้อมะพร้าวจัดเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่นค่ะ เพราะสามารถขับออกได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทานมะพร้าวอ่อนได้มาก ๆ ตามใจปาก เพราะเพื่อสุขภาพที่ดี เราไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกินกว่า 7% ของแคลอรีที่ได้รับต่อวัน ดังนั้นแล้ว หากชอบทานเนื้อมะพร้าวก็ทานได้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เลือกชิ้นอ่อน ๆ ที่เป็นเจล ๆ ไขมันจะต่ำกว่า เพราะยิ่งเนื้อหนามากไขมันก็ยิ่งเยอะนะคะ แต่หากใครมีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลี่ยงการทานเนื้อมะพร้าวทั้งอ่อนและแก่จะดีกว่า
9. รักษาอาการอัลไซเมอร์
มีงานวิจัยจาก ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาอีกฉบับ พบว่าในมะพร้าวอ่อนมีสารประกอบทรานส์ซีติน ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ จึงช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ และความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทได้
และไม่ใช่แค่นั้น เพราะการศึกษาจากแหล่งอื่นยังพบว่าสารประกอบทรานส์ซีตินสามารถป้องกันไม่ให้โปรตีนอะมัยลอยด์เบต้า ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์ก่อตัวขึ้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นผลการศึกษาในห้องทดลอง ซึ่งจะต้องมีการศึกษาผลที่เกิดกับคนอีกครั้ง
10. ช่วยลดความดันโลหิต
เนื่องจากมะพร้าวอ่อนมีโพแทสเซียมสูงมาก คือ ในปริมาณน้ำมะพร้าว 100 มิลลิลิตร มีโพแทสเซียมถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งข้อดีของโพแทสเซียมนอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยลดระดับความดันในร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าวันไหนทานโซเดียมเยอะเกินไป ควรดื่มน้ำมะพร้าวสักหน่อย เพื่อให้โพแทสเซียมเข้าไปลดปริมาณโซเดียม และทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง
11. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าอาหารที่มีดัชนีไกลซีมิกสูงจะมีคาร์โบไฮเดรตสูง ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อินซูลินก็จะสูงขึ้นตาม แถมอินซูลินที่สูงนี้สามารถเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและอาจเสี่ยงต่อไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ ดังนั้นเราควรทานอาหารที่ดัชนีไกลซีมิกต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อย่างมะพร้าวอ่อนก็เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีดัชนีไกลซีมิกต่ำและมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ จึงช่วยลดการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตไปเป็นน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไปนั่นเอง
12. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
คนที่ชอบทานมะพร้าวอ่อนต้องถูกใจแน่ ๆ เพราะอย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่าไขมันในมะพร้าวอ่อนช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงไปได้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในมะพร้าวอ่อนมีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ด้วยนะครับ
หลายคนยังอาจจะคิดว่าน้ำมะพร้าวนั้นมีประโยชน์จริงๆแต่ควรทาน/ดื่มให้เหมาะสมไม่ควรทานมากเกินไปเพราะอาจจะมีผลเสียตามมาก็เป็นได้ หวังว่าข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาให้นั้นจะเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน
สืบเนื่องจากหลายบคนอาจจะทราบกันดีว่าน้ำมะพร้าวน้ัน เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นใช่ว่าจะมีแต่ประโยชน์เพราะน้ำมะพร้าวนั้นก็มีโทษสำหรับผู้ป่วยบางโรค และส่วนคนที่ทานแล้วจะเกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับการดื่มมะพร้าวนั้นก็แบ่งออกไปได้จำนวน 5 กลุ่มได้แก่
1. นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกรือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที นัก กีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อยจนล้า จะสดใสขึ้นทันตาเห็น
2. คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายจะต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย
3. วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำจะทำให้ควมจำดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้เด็ดนัก
4. คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆก็เพราะเลือดน้อยแต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุง และเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็น ปกติ
5. คนเป็นไข้หวัดตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบ เพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ได้ดี และยังมีกรดลอริกที่เป็นยาฆ่าเชื้อ ดื่มแล้ว อาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น
ส่วนผู้ป่วยสองโรคควรเลี่ยงได้แก่
1.คนเป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะให้ดีคนที่เป็นโรคนี้ควรระวัง
2.คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจเราได้ สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ควรลีกเหลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว
โดยประโยชน์ของน้ำมะพร้าวจะมีดังนี้
1. ดับกระหาย คลายร้อน
อากาศร้อน ๆ ทำให้เรารู้สึกกระหายน้ำได้ง่าย ๆ และน้ำมะพร้าวอ่อนก็เป็นตัวช่วยดับกระหายคลายร้อนที่ดีค่ะ เพราะมะพร้าวอ่อนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น อีกทั้งยังมีกลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายจะสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ดังนั้นจึงต้องไม่แปลกใจหากดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปแล้วจะรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวยทันตาเห็น
2. เป็นเกลือแร่จากธรรมชาติ
รู้ไหมว่าเราสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแทนเครื่องดื่มเกลือแร่หลังจากออกกำลังกายหรือท้องเสียได้ด้วยนะคะ เพราะในน้ำมะพร้าวมีโพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ซึ่งเป็นสารอาหารชนิดเดียวกับในเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่เด็ดกว่าตรงที่เป็นเกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ จึงช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และลดอาการขาดน้ำได้ดีทีเดียว
3. เพิ่มน้ำในคนที่มีภาวะขาดน้ำ
ในมะพร้าวอ่อนมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่สูงมาก ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราแค่ไหน ฉะนั้นหากรู้สึกขาดน้ำ เราขอแนะนำมะพร้าวอ่อนทั้งน้ำและเนื้อ ให้เป็นอีกทางเลือกช่วยเพิ่มน้ำแก่ร่างกาย
4. ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะทำงานดีขึ้น
การดื่มน้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นไปอย่างปกติ ซึ่งก็จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะของเราได้ขับสารพิษและแบคทีเรียที่อาจตกค้างอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ในระบบขับถ่ายปัสสาวะลงได้
5. บำรุงผิว ชะลอริ้วรอย
ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ผิวพรรณของเราสดใส ไม่แห้งกร้าน แล้วถ้าเป็นน้ำมะพร้าวล่ะ จะดีกับผิวพรรณของเราขนาดไหน เพราะรู้ไหมคะว่าน้ำมะพร้าวเป็นแหล่งของสารอาหารมากมาย ทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินซีที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยสมานแผล และช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง
6. บำรุงกระดูก
แม้ปริมาณแคลเซียมในมะพร้าวอ่อนจะไม่ได้สูงมาก แต่มะพร้าวอ่อนมีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมให้เข้าสู่กระดูกได้อย่างเต็มที่ ทำให้กระดูกของเราแข็งแรงขึ้นได้ค่ะ ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยทดลองให้หนูเพศผู้ทานน้ำมะพร้าวอ่อน ก่อนที่จะพบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนมีผลต่อการเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อนและกระดูกฟองน้ำของขากรรไกรล่าง ดังนั้นจึงกำลังทำการศึกษาต่อไปว่าน้ำมะพร้าวอ่อนน่าจะมีประโยชน์ในการชะลอภาวะกระดูกพรุนในชายวัยหมดฮอร์โมน
7. ปรับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
รู้ไหมคะ ว่าการทานมะพร้าวช่วยปรับฮอร์โมนของสตรีวัยหมดประจำเดือน และชายวัยทองให้ดีขึ้นได้ โดยมีงานวิจัยพบว่าฮอร์โมนพืชหลาย ๆ ตัวในมะพร้าวอ่อน มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ทำให้ผิวพรรณสดใส ชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงอาการอัลไซเมอร์ และช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย เนื่องจากน้ำมะพร้าวอ่อนมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของเซลล์ในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง
8. เป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่น
แม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะไม่ดีต่อร่างกายเรา เพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย แต่ถึงยังไงร่างกายเราก็ยังต้องการไขมันอิ่มตัวบ้างอยู่ดีนะคะ โดยทานให้สมดุลกับไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ด้วย เพื่อช่วยละลายวิตามินเอ ดี อี เค ที่จะละลายได้ในไขมันเท่านั้น
สำหรับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นเครื่องดื่มที่มีไขมันน้อยมาก ทว่าในเนื้อมะพร้าวอ่อนจะมีไขมันค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ไขมันอิ่มตัวในเนื้อมะพร้าวจัดเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่นค่ะ เพราะสามารถขับออกได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทานมะพร้าวอ่อนได้มาก ๆ ตามใจปาก เพราะเพื่อสุขภาพที่ดี เราไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกินกว่า 7% ของแคลอรีที่ได้รับต่อวัน ดังนั้นแล้ว หากชอบทานเนื้อมะพร้าวก็ทานได้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เลือกชิ้นอ่อน ๆ ที่เป็นเจล ๆ ไขมันจะต่ำกว่า เพราะยิ่งเนื้อหนามากไขมันก็ยิ่งเยอะนะคะ แต่หากใครมีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลี่ยงการทานเนื้อมะพร้าวทั้งอ่อนและแก่จะดีกว่า
9. รักษาอาการอัลไซเมอร์
มีงานวิจัยจาก ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาอีกฉบับ พบว่าในมะพร้าวอ่อนมีสารประกอบทรานส์ซีติน ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ จึงช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ และความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทได้
และไม่ใช่แค่นั้น เพราะการศึกษาจากแหล่งอื่นยังพบว่าสารประกอบทรานส์ซีตินสามารถป้องกันไม่ให้โปรตีนอะมัยลอยด์เบต้า ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์ก่อตัวขึ้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นผลการศึกษาในห้องทดลอง ซึ่งจะต้องมีการศึกษาผลที่เกิดกับคนอีกครั้ง
10. ช่วยลดความดันโลหิต
เนื่องจากมะพร้าวอ่อนมีโพแทสเซียมสูงมาก คือ ในปริมาณน้ำมะพร้าว 100 มิลลิลิตร มีโพแทสเซียมถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งข้อดีของโพแทสเซียมนอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยลดระดับความดันในร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าวันไหนทานโซเดียมเยอะเกินไป ควรดื่มน้ำมะพร้าวสักหน่อย เพื่อให้โพแทสเซียมเข้าไปลดปริมาณโซเดียม และทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง
11. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าอาหารที่มีดัชนีไกลซีมิกสูงจะมีคาร์โบไฮเดรตสูง ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อินซูลินก็จะสูงขึ้นตาม แถมอินซูลินที่สูงนี้สามารถเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและอาจเสี่ยงต่อไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ ดังนั้นเราควรทานอาหารที่ดัชนีไกลซีมิกต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อย่างมะพร้าวอ่อนก็เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีดัชนีไกลซีมิกต่ำและมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ จึงช่วยลดการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตไปเป็นน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไปนั่นเอง
12. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
คนที่ชอบทานมะพร้าวอ่อนต้องถูกใจแน่ ๆ เพราะอย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่าไขมันในมะพร้าวอ่อนช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงไปได้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในมะพร้าวอ่อนมีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ด้วยนะครับ
หลายคนยังอาจจะคิดว่าน้ำมะพร้าวนั้นมีประโยชน์จริงๆแต่ควรทาน/ดื่มให้เหมาะสมไม่ควรทานมากเกินไปเพราะอาจจะมีผลเสียตามมาก็เป็นได้ หวังว่าข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาให้นั้นจะเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
10 อาการโรคไต สัญญาณโรคไต ฟอกไต ล้างไต อาจไม่ใช่ทางออก
ขอบพระคุณ SOOKCHANNEL
อาการโรคไต ที่คุณควรสังเกตและตรวจดู เพื่อฟื้นฟูไต รักษาโรคไต ได้ทันท่วงที เพราะการฟอกไต ล้างไต ของคนเป็นไตวาย ไตระยะสุดท้าย ไม่ใช่ทางออกของการรักษาไต แต่อาจเป็นเพียงการยืดเวลาการเสียชีวิต
การฟื้นฟูไตด้วยสมุนไพร สามารถทำได้ ด้วยยาตำรับจาก แพทย์แผนไทย มีใบประกอบโรคศิลป์ ช่วยรักษาโรคไต ให้ไม่ต้องฟอกไตได้
ทั้งนี้ ต้องดูแลเรื่อง อาหารโรคไต ควบคู่ด้วย เพื่อให้การฟื้นฟูไต สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
การรักษาไต ควรระมัดระวัง และรักษากับผู้เชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพร ไม่ใช่การกินอาหารเสริมหรือสูตรที่แชร์ตามอินเตอร์เนต
เริ่มไตเสื่อม ไตวาย สามารถปรึกษาการฟื้นฟูไต รักษาไต ได้โดยตรง
ศูนย์สุขภาพ ชีวีมีสุข
บ. กู๊ดไลฟ์ แอนด์ เฮลธ์โซลูชั่น จก.
ดูแลโรคโดยแพทย์แผนไทย
อาการโรคไต ที่คุณควรสังเกตและตรวจดู เพื่อฟื้นฟูไต รักษาโรคไต ได้ทันท่วงที เพราะการฟอกไต ล้างไต ของคนเป็นไตวาย ไตระยะสุดท้าย ไม่ใช่ทางออกของการรักษาไต แต่อาจเป็นเพียงการยืดเวลาการเสียชีวิต
การฟื้นฟูไตด้วยสมุนไพร สามารถทำได้ ด้วยยาตำรับจาก แพทย์แผนไทย มีใบประกอบโรคศิลป์ ช่วยรักษาโรคไต ให้ไม่ต้องฟอกไตได้
ทั้งนี้ ต้องดูแลเรื่อง อาหารโรคไต ควบคู่ด้วย เพื่อให้การฟื้นฟูไต สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
การรักษาไต ควรระมัดระวัง และรักษากับผู้เชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพร ไม่ใช่การกินอาหารเสริมหรือสูตรที่แชร์ตามอินเตอร์เนต
เริ่มไตเสื่อม ไตวาย สามารถปรึกษาการฟื้นฟูไต รักษาไต ได้โดยตรง
ศูนย์สุขภาพ ชีวีมีสุข
บ. กู๊ดไลฟ์ แอนด์ เฮลธ์โซลูชั่น จก.
ดูแลโรคโดยแพทย์แผนไทย
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
บ้านหมุน! 8 วิธีบรรเทาอาการ " เวียนหัว " แก้ง่ายๆด้วยตัวเอง
ขอบพระคุณ เจ้าของข้อมูล และผู้เรียบเรียง
เรียกได้ว่าอาการเวียนหัวบ้านหมุน เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ ยิ่งคนที่พักผ่อนน้อยหรือสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็จะยิ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวนี้ได้ อาการเวียนหัวมีทั้งอาการเบื้องต้นไปจนถึงรุนแรง เราไปรู้จักกับอาการเวียนหัวและวิธีช่วยบรรเทาอาการนี้กันดีกว่าค่ะ
การเวียนหัวบ้านหมุน เป็นอาการเวียนศีรษะแบบหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีการเคลื่อนไหว อาการนี้เป็นผลจากความผิดปกติของระบบควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน อาจพบร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ยืนหรือเดินลำบากได้
อาการเวียนหัวนี้ นี้อาจแบ่งได้เป็นสามแบบ คือ แบบที่ 1คือผู้ป่วยรู้สึกว่าวัตถุต่างๆ หมุนรอบตัวเอง แบบที่ 2 คือผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีอาการเคลื่อนไหว และแบบที่ 3 คือรู้สึกว่ามีการหมุนอยู่ข้างในศีรษะ อาการบ้านหมุนสำหรับผู้ที่มีอาการบ้านหมุน จะรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวหมุนหรือตัวเองหมุน ทั้งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย โดยส่วนมากจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ เดินเซ ล้ม หรือทรงตัวไม่ได้ รวมไปถึงรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของลูกตา ตากระตุก และอาจมีอาการหูอื้อ หรือมีเสียงดังในหูร่วมด้วย โดยอาการจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดบ้านหมุนเป็นหลัก และมักเกิดอาการเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง หรือบางครั้งก็มีอาการเป็นพัก ๆ แล้วหายไป
วิธีบรรเทาอาการบ้านหมุนเบื้องต้น1.อย่าเคลื่อนไหวท่าทางซ้ำๆ การเคลื่อนไหวด้วยท่าทางซ้ำๆ เช่น สะบัดหน้า ขยับแขน ขยับขา ส่งผลให้การทรงตัวไม่ดี ซึ่งจะยิ่งทำให้อาการวิงเวียนบ้านหมุนแย่ลงกว่าเดิม ทางที่ดีควรเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวังและมั่นคง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้อย่างรวดเร็ว
2. เคลื่อนไหวช้าๆ เมื่อรู้สึกวิงเวียนบ้านหมุน การขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วจะทำให้รู้สึกแย่ลง แต่การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เช่น การก้าวเดินช้าๆ จะช่วยให้คุณโฟกัสได้ง่ายขึ้น และสมองไม่มึนงง บางคนอาจหยุดพักชั่วครู่ระหว่างเดิน ก็ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้ดี
3. เพ่งมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไป การรับรู้ของคนเรานั้น สิ่งที่อยู่ใกล้จะดูเคลื่อนที่เร็วกว่าสิ่งที่อยู่ไกลออกไปเพราะฉะนั้น ขอให้เพ่งมองไปยังสิ่งที่อยู่ในระยะไกล เช่น มองออกไปนอกหน้าต่างจนรู้สึกวิงเวียนลดน้อยลง
4. อย่ามองขึ้นหรือลง การมองขึ้นหรือลงอาจทำให้รู้สึกมึนงงและไม่สบายยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับอาการวิงเวียนศีรษะทั่วไป ที่ไม่ใช่บ้านหมุน เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการมองเกิ้นหรือมองลงนานๆ หรือรวดเร็วและรักษาระดับศีรษะให้ขนานกับพื้นเท่าที่จะทำได้
วิธีเคลื่อนไหวที่ช่วยรักษาอาการบ้านหมุนให้หายขาด1. หันศีรษะ 45 องศาอย่างช้าๆ เริ่มต้นด้วยการตั้งศีรษะตรง และค่อยๆหันศีรษะไปทางซ้าย 45 องศา จากนั้นค่อยๆหันไปทางขวา ทำเช่นเดียวกัน
2. นอนหงาย จากนั้นให้นอนหงายโดยเร็ว เพื่อให้ลำคอและไหลผ่อนคลาย เอียงศีรษะไปให้หูข้างที่ได้รับผลกระทบจากอาการวิงเวียนบ้านหมุน สัมผัสหมอนนาน 30 วินาที แล้วเอียงศีรษะอีกข้างให้หูสัมผัสหมอนนาน 30 วินาที
3. พลิกตัว จากนั้นพลิกตัวไปด้านเดียวกับศีรษะที่เอียงอยู่ แล้วอยู่ในท่าตะแคงนี้นาน 30 วินาที
4. ทำซ้ำ เริ่มทำจาก 1-3 วันละ 3 ครั้ง เพื่อให้หายขาดจากอาการวิงเวียนบ้านหมุน ซึ่งท่าเหล่านี้เป็นท่าที่นักกายภาพบำบัดใช้รักษาผู้ป่วย แต่คุณสามารถทำเองได้โดยไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการเวียนหัวหนักเป็นบ่อยหรือทำตามวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่หายให้ผู้ป่วยรีบไปปรึกษาแพทย์อย่าปล่อยให้อาการเหล่านี้เรื้อรังจนเป็นหนักขึ้นเพราะอาจเป็นปัญหาร้ายแรงในภายหลัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaijobsgov.com
เรียบเรียงโดย : ปาริชาติ พ่วงสกุล
เรียกได้ว่าอาการเวียนหัวบ้านหมุน เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ ยิ่งคนที่พักผ่อนน้อยหรือสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็จะยิ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวนี้ได้ อาการเวียนหัวมีทั้งอาการเบื้องต้นไปจนถึงรุนแรง เราไปรู้จักกับอาการเวียนหัวและวิธีช่วยบรรเทาอาการนี้กันดีกว่าค่ะ
การเวียนหัวบ้านหมุน เป็นอาการเวียนศีรษะแบบหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีการเคลื่อนไหว อาการนี้เป็นผลจากความผิดปกติของระบบควบคุมการทรงตัวในหูชั้นใน อาจพบร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ยืนหรือเดินลำบากได้
อาการเวียนหัวนี้ นี้อาจแบ่งได้เป็นสามแบบ คือ แบบที่ 1คือผู้ป่วยรู้สึกว่าวัตถุต่างๆ หมุนรอบตัวเอง แบบที่ 2 คือผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีอาการเคลื่อนไหว และแบบที่ 3 คือรู้สึกว่ามีการหมุนอยู่ข้างในศีรษะ อาการบ้านหมุนสำหรับผู้ที่มีอาการบ้านหมุน จะรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวหมุนหรือตัวเองหมุน ทั้งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย โดยส่วนมากจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ เดินเซ ล้ม หรือทรงตัวไม่ได้ รวมไปถึงรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของลูกตา ตากระตุก และอาจมีอาการหูอื้อ หรือมีเสียงดังในหูร่วมด้วย โดยอาการจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดบ้านหมุนเป็นหลัก และมักเกิดอาการเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง หรือบางครั้งก็มีอาการเป็นพัก ๆ แล้วหายไป
วิธีบรรเทาอาการบ้านหมุนเบื้องต้น1.อย่าเคลื่อนไหวท่าทางซ้ำๆ การเคลื่อนไหวด้วยท่าทางซ้ำๆ เช่น สะบัดหน้า ขยับแขน ขยับขา ส่งผลให้การทรงตัวไม่ดี ซึ่งจะยิ่งทำให้อาการวิงเวียนบ้านหมุนแย่ลงกว่าเดิม ทางที่ดีควรเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวังและมั่นคง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้อย่างรวดเร็ว
2. เคลื่อนไหวช้าๆ เมื่อรู้สึกวิงเวียนบ้านหมุน การขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วจะทำให้รู้สึกแย่ลง แต่การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เช่น การก้าวเดินช้าๆ จะช่วยให้คุณโฟกัสได้ง่ายขึ้น และสมองไม่มึนงง บางคนอาจหยุดพักชั่วครู่ระหว่างเดิน ก็ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้ดี
3. เพ่งมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไป การรับรู้ของคนเรานั้น สิ่งที่อยู่ใกล้จะดูเคลื่อนที่เร็วกว่าสิ่งที่อยู่ไกลออกไปเพราะฉะนั้น ขอให้เพ่งมองไปยังสิ่งที่อยู่ในระยะไกล เช่น มองออกไปนอกหน้าต่างจนรู้สึกวิงเวียนลดน้อยลง
4. อย่ามองขึ้นหรือลง การมองขึ้นหรือลงอาจทำให้รู้สึกมึนงงและไม่สบายยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับอาการวิงเวียนศีรษะทั่วไป ที่ไม่ใช่บ้านหมุน เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการมองเกิ้นหรือมองลงนานๆ หรือรวดเร็วและรักษาระดับศีรษะให้ขนานกับพื้นเท่าที่จะทำได้
วิธีเคลื่อนไหวที่ช่วยรักษาอาการบ้านหมุนให้หายขาด1. หันศีรษะ 45 องศาอย่างช้าๆ เริ่มต้นด้วยการตั้งศีรษะตรง และค่อยๆหันศีรษะไปทางซ้าย 45 องศา จากนั้นค่อยๆหันไปทางขวา ทำเช่นเดียวกัน
2. นอนหงาย จากนั้นให้นอนหงายโดยเร็ว เพื่อให้ลำคอและไหลผ่อนคลาย เอียงศีรษะไปให้หูข้างที่ได้รับผลกระทบจากอาการวิงเวียนบ้านหมุน สัมผัสหมอนนาน 30 วินาที แล้วเอียงศีรษะอีกข้างให้หูสัมผัสหมอนนาน 30 วินาที
3. พลิกตัว จากนั้นพลิกตัวไปด้านเดียวกับศีรษะที่เอียงอยู่ แล้วอยู่ในท่าตะแคงนี้นาน 30 วินาที
4. ทำซ้ำ เริ่มทำจาก 1-3 วันละ 3 ครั้ง เพื่อให้หายขาดจากอาการวิงเวียนบ้านหมุน ซึ่งท่าเหล่านี้เป็นท่าที่นักกายภาพบำบัดใช้รักษาผู้ป่วย แต่คุณสามารถทำเองได้โดยไม่ยุ่งยากและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการเวียนหัวหนักเป็นบ่อยหรือทำตามวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่หายให้ผู้ป่วยรีบไปปรึกษาแพทย์อย่าปล่อยให้อาการเหล่านี้เรื้อรังจนเป็นหนักขึ้นเพราะอาจเป็นปัญหาร้ายแรงในภายหลัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaijobsgov.com
เรียบเรียงโดย : ปาริชาติ พ่วงสกุล
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
การดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน
ขอบพระคุณ แหล่งที่มา kapook
ใครที่ชอบ ดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน ต้องรู้ไว้เลย
ได้ยินมาตลอดกับการดื่นน้ำในตอนเช้า หรือ ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน เคยสงสัยและตั้งคำถามกันไหมว่า? การดื่นน้ำในตอนเช้ามีดี และมีประโยชน์อะไรบ้าง เรามีคำตอบให้สาวๆหายสงสัยกันค่ะ
* ดื่มน้ำตอนท้องว่างช่วยเคลียร์ลำไส้ คราวนี้ก็ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้เต็มที่
* ดื่มน้ำตอนท้องว่างยังช่วยปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง ส่งผลดีต่อระบบภายใน ลดความเสี่ยงอาการอักเสบต่าง ๆ ได้ชะงัด
* กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ง่าย ๆ แค่ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน
* แผลพุพองก็รักษาให้หายได้ แค่ดื่มน้ำสักแก้วหลังจากตื่นนอนเท่านั้น อีกทั้งการดื่มน้ำตอนท้องว่างยังดีต่อระบบย่อยอาหารด้วยนะ
* น้ำช่วยพยุงการทำงานของข้อต่อและกระดูกทุกส่วนในร่างกาย การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงการันตีได้ว่าคุณจะห่างไกลโรคปวดหลังแล ะปัญหากระดูกต่าง ๆ ได้นานกว่าอายุขัยจริง
* กำจัดไขมันส่วนเกินได้มากพอที่จะช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้ เพียงแค่คุณดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน
* ช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ แถมงานสร้างกล้ามเนื้อใหม่ก็มา
* โรคเกี่ยวกับลำคอ อาการปวดท้องประจำเดือน ปัญหาเกี่ยวกับระบบสายตา ท้องเสีย ท้องร่วง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอาการปวดหัว ป้องกันได้ง่าย ๆ เพียงดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอนเป็นประจำ
* หากการดื่มน้ำเป็นสิ่งแรกที่คุณทำตอนตื่นนอน ระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหารของคุณจะแข็งแรงมาก
* น้ำที่ลงสู่กระเพาะว่างเปล่าจะช่วยจัดระเบียบการทำงานของลำไส้ อาการท้องผูกที่เคยมีก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
* มะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะเร็งลำไส้จะไม่มาข้องแวะกับคนที่ดื ่มน้ำทันทีที่ตื่นนอนเป็นประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่าสารตกค้างที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในกระเพาะป ัสสาวะจะถูกน้ำชะล้างไปจนหมด
* เติมน้ำให้สมองตั้งแต่เช้าจะช่วยกระตุ้นให้สมองปราดเปรื่องขึ้น กระตุ้นกระบวนการคิด ความจำ และสมาธิ
* ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ห่างไกลโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน ลดการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยแห่งวัย
* พลังของน้ำที่อยู่ในกระเพาะก่อนที่ร่างกายจะรับอาหารเช้าจะเป็น เหมือนตัวกรองสารเคมีและสารพิษที่ติดมากับอาหารได้อย่างยอดเยี ่ ยม
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการเผาผลาญ และระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง
– การดื่มน้ำในตอนเช้าหลังตื่นทันทีช่วยดีท็อกลำใส้ ผิวพรรณผ่องใสโดยไม่ต้องพยายาม
– การดื่มน้ำในตอนเช้าช่วยในการทำความสะอาดทางเดินอาหาร
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่
– การดื่มน้ำในตอนเช้าปรัยสมดุลในร่างกาย ต่อมน้ำเหลือง ส่งผลดีต่อระบบภายใน ลดความเสี่ยงอาการอักเสบต่างๆได้ชะงัด
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นระบบคุ้มภูมิกันให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ง่ายๆ
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากำจัดไขมันส่วนเกินได้มากพอที่จะช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้
– การดื่มน้ำในตอนเช้านี้ มีประโยชน์ได้ครบด้านจริงๆกับร่างกายของเรา
ใครที่ชอบ ดื่มน้ำตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน ต้องรู้ไว้เลย
ได้ยินมาตลอดกับการดื่นน้ำในตอนเช้า หรือ ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน เคยสงสัยและตั้งคำถามกันไหมว่า? การดื่นน้ำในตอนเช้ามีดี และมีประโยชน์อะไรบ้าง เรามีคำตอบให้สาวๆหายสงสัยกันค่ะ
* ดื่มน้ำตอนท้องว่างช่วยเคลียร์ลำไส้ คราวนี้ก็ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้เต็มที่
* ดื่มน้ำตอนท้องว่างยังช่วยปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง ส่งผลดีต่อระบบภายใน ลดความเสี่ยงอาการอักเสบต่าง ๆ ได้ชะงัด
* กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ง่าย ๆ แค่ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน
* แผลพุพองก็รักษาให้หายได้ แค่ดื่มน้ำสักแก้วหลังจากตื่นนอนเท่านั้น อีกทั้งการดื่มน้ำตอนท้องว่างยังดีต่อระบบย่อยอาหารด้วยนะ
* น้ำช่วยพยุงการทำงานของข้อต่อและกระดูกทุกส่วนในร่างกาย การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงการันตีได้ว่าคุณจะห่างไกลโรคปวดหลังแล ะปัญหากระดูกต่าง ๆ ได้นานกว่าอายุขัยจริง
* กำจัดไขมันส่วนเกินได้มากพอที่จะช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้ เพียงแค่คุณดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน
* ช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ แถมงานสร้างกล้ามเนื้อใหม่ก็มา
* โรคเกี่ยวกับลำคอ อาการปวดท้องประจำเดือน ปัญหาเกี่ยวกับระบบสายตา ท้องเสีย ท้องร่วง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอาการปวดหัว ป้องกันได้ง่าย ๆ เพียงดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอนเป็นประจำ
* หากการดื่มน้ำเป็นสิ่งแรกที่คุณทำตอนตื่นนอน ระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหารของคุณจะแข็งแรงมาก
* น้ำที่ลงสู่กระเพาะว่างเปล่าจะช่วยจัดระเบียบการทำงานของลำไส้ อาการท้องผูกที่เคยมีก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
* มะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะเร็งลำไส้จะไม่มาข้องแวะกับคนที่ดื ่มน้ำทันทีที่ตื่นนอนเป็นประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่าสารตกค้างที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในกระเพาะป ัสสาวะจะถูกน้ำชะล้างไปจนหมด
* เติมน้ำให้สมองตั้งแต่เช้าจะช่วยกระตุ้นให้สมองปราดเปรื่องขึ้น กระตุ้นกระบวนการคิด ความจำ และสมาธิ
* ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ห่างไกลโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน ลดการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยแห่งวัย
* พลังของน้ำที่อยู่ในกระเพาะก่อนที่ร่างกายจะรับอาหารเช้าจะเป็น เหมือนตัวกรองสารเคมีและสารพิษที่ติดมากับอาหารได้อย่างยอดเยี ่ ยม
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการเผาผลาญ และระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง
– การดื่มน้ำในตอนเช้าหลังตื่นทันทีช่วยดีท็อกลำใส้ ผิวพรรณผ่องใสโดยไม่ต้องพยายาม
– การดื่มน้ำในตอนเช้าช่วยในการทำความสะอาดทางเดินอาหาร
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่
– การดื่มน้ำในตอนเช้าปรัยสมดุลในร่างกาย ต่อมน้ำเหลือง ส่งผลดีต่อระบบภายใน ลดความเสี่ยงอาการอักเสบต่างๆได้ชะงัด
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากระตุ้นระบบคุ้มภูมิกันให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ง่ายๆ
– การดื่มน้ำในตอนเช้ากำจัดไขมันส่วนเกินได้มากพอที่จะช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักได้
– การดื่มน้ำในตอนเช้านี้ มีประโยชน์ได้ครบด้านจริงๆกับร่างกายของเรา
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ใครทำอยู่ระวัง !! หัวใจหยุดเต้นกระทันหัน เพราะทำพฤติกรรมนี้ซ้ำๆ ทุกวัน
ขอบพระคุณ ข้อมูลจาก สาระน่ารู้คู่สุขภาพ
– การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหัน ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก
– ส่วนบางคน หัวใจมีปัญหากลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความ ดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี
นักวิทยาศาสตร์มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอ ๆ ว่า… “ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง” วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก
=ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง
1. เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที
2. เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที
3. แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที
=ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง
1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)
2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้
อย่าได้มองข้ามไปนะคะ บางทีเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อย แต่ป้องกันไว้ก็ดี
ที่มา: สาระน่ารู้คู่สุขภาพ
– การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหัน ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก
– ส่วนบางคน หัวใจมีปัญหากลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความ ดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี
นักวิทยาศาสตร์มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอ ๆ ว่า… “ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง” วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก
=ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง
1. เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที
2. เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที
3. แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที
=ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง
1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)
2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้
อย่าได้มองข้ามไปนะคะ บางทีเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อย แต่ป้องกันไว้ก็ดี
ที่มา: สาระน่ารู้คู่สุขภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
อะไรที่ทำร้ายหัวใจคุณ
ขอบพระคุณ การเสวนา ชีวิตดีไม่มีตีบตัน นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ อโศกรำลึก,คุณPipat Chanpong
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!!
กระดูกทับเส้น......ป้องกันได้!! ขอบพระคุณเจ้าของข้อมูล ใครไม่เคยปวดหลังร้าวชาลงขา เดินไม่ได้ ก้มไม่ได้ ต้องไม่เคยลิ้มรสความทรมานจากโรคก...
-
เลือกกินตามสัญญาณไฟ ขอบพระคุณข้อมูล จาก สสส #กินตามสัญญาณไฟ . ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง คือ การกิน แต่ถ้าเรามีพฤติก...
-
การดูแลรักษาอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายที่น่าสนใจ ขอบพระคุณเจ้าของภาพ
-
อาการผิดปกติหลังบาดเจ็บที่ศีรษะที่ต้องกลับไปพบแพทย์ . #บาดเจ็บศีรษะ หมายถึง ผู้บาดเจ็บมีลักษณะ ดังต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่า เช...